ดร.วิชัย พยัคฆโส [email protected] กระแสตลาดหุ้นได้ก้าวพ้น 1,700 จุดไปแล้ว เป็นสถิติในรอบ 23 ปีที่ไม่เคยปรากฏ ต้องยอมรับว่าตลาดหลักทรัพย์หรือตลาดหุ้นไทยเป็นดัชนีชี้วัดของการปรับตัวของเศรษฐกิจได้ปัจจัยหนึ่ง เพราะความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มองเห็นอนาคตของเศรษฐกิจพัฒนาในเชิงบวกมากขึ้นเป็นลำดับ หลังจากที่นายกรัฐมนตรีประกาศให้มีการเลือกตั้งใหญ่ ปี2561 มีหลายๆสัญญาณที่สะท้อนให้เห็นถึงอนาคตของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะนโยบายการลงทุนภาครัฐหลายแสนล้านบาทต่อโครงการหลายโครงการ ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมรถไฟรางคู่ รถไฟความเร็วสูง แต่จุดเน้นหลักมาอยู่ที่โครงการ EEC ของภาคตะวันออกที่ยิ่งใหญ่ระดับนานาขาติที่เพื่อนบ้านจ้องมองโครงการยักษ์ อาจจะมีทั้งเตรียมตัวกระตุ้นเศรษฐกิจของตัวเอง กับการรอดูโครงการจะสำเร็จหรือไม่อยู่ในใจก็คงมี ซึ่งดูเหมือนว่ารัฐบาลกัดไม่ปล่อยในโครงการนี้อยู่แล้ว สัญญาณล่าสุด คือการที่ ICAO ล้มธงแดงของมาตรฐานความปลอดภัยด้านอุตสาหกรรมการบินของประเทศไปแล้ว ย่อมเป็นสัญญาณบวกเพิ่มเติมในการที่ไทยจะเป็นศุนย์กลางการบินในระดับภูมิภาค หากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพึงจดจำบทเรียนที่ผ่านมาบริหารจัดการแบบไทยๆ ไม่ได้อีกต่อไป เพราะเราต้องบินไปมากับทุกประเทศทั่วโลก จำเป็นต้องบริหารจัดการเชิงระบบที่เป็นมาตรฐานสากลอย่างเข้มข้น เอาแค่สัญญาณ 2-3 เรื่องขนาดใหญ่ ยังไม่รวมนโยบายการผลักดันการผลิตภายในประเทศทั้ง SMEs ทั้งโครงการสวัสดิการแห่งรัฐ รวมถึงการจัดสรรงบประมาณตามยุทธศาสตร์ในระดับ 6 ภาค เพื่อพัฒนาทุกจังหวัดให้มีศักยภาพทัดเทียมกันอีกส่วนหนึ่ง รายได้จากการท่องเที่ยวปี 61 เป็นรายได้ภาคบริการ คาดว่ามีมูลค่าสูงกว่า 3 ล้านล้านบาท ด้วยนักท่องเที่ยวมากกว่า 34 ล้านคน แถมยังได้รับการยกย่องว่าทั้งกรุงเทพและทั่วทุกภาคเป็นปลายทางของนักท่องเที่ยวที่คุ้ทค่าและน่าท่องเที่ยวในภูมิภาคนี้ด้วย คาดว่ารายได้จะเพิ่มจากปี 2016 ที่ประมาณ 2.2 ล้านล้านบาท จะเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 30-40 ซึ่งรัฐจะต้องเน้นไปในบริการท่องเที่ยวอย่างเข้มข้น หากคิดสัดส่วนรายได่แต่ละภูมิภาค พบว่ากรุงเทพมีสัดส่วนรายได้มากสุด 38% กระทรวงการท่องเที่ยวคงต้องพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในภูมิภาคให้มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นจากเดิมเช่น ภาคใต้ 32% ตะวันออก 13% เหนือ 7% กลาง 6% และอีสาน 3% คงต้องให้กลุ่มจังหวัดพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวให้สะดวก ปลอดภัย มีบริการที่ดี มีอัตลักษณ์ รายได้โดยตรงจะเข้าถึงมือผู้ประกอบการและประชาชนในภูมิภาคนั้นเป็นกอบเป็นกำ ถ้าจะพัฒนาให้โตภาคละ 5-10% กลับมาดูแนวโน้มการเติบโต GDP ของภูมิภาคนี้ในปี 2561 มีการคาดการณ์ว่าอาเซียนจะโต 5.1% ฟิลิปปินส์ 6.7% เวียดนาม 6.5% มาเลเซีย 5.4% อินโดนีเซีย 5.3% ไทย3.6-4.0% นับว่ายังรั้งท้ายๆอยู่ดี แต่ความสามารถในการแข่งขันของไทยกลับเพิ่มขึ้น 2 อันดับ จาก 34 มาอยู่ที่ 32 อันดับดีกว่า อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ซึ่งไทยยังมีโอกาสอีกมาก อีกเพียงปีเศษๆ จะเข้าสู่โหมดการเลือกตั้ง เพื่อความเป็นระบอบประชาธิปไตย ต้องยอมรับว่าฝีมือการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล คสช. สามารถระงับยับยั้งให้หลายปัญหามิให้ตกต่ำลงไปอีก การเอาจริงเอาจังกับการคอร์รัปชั่น และมุ่งมั่นพัฒนาระบบราชการ ปูพื้นฐานทางเศรษฐกิจไว้เช่นนี้ มั่นใจได้ว่านักการเมืองรุ่นใหม่พึงต้องตระหนักกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพื่อสานต่อได้อย่างมีเป้าหมาย