เสือตัวที่ 6
ความจริงทางศาสนาในกรณีความเชื่อเรื่อง “ชาฮีด” หรือ “วีรบุรุษ” เป็นความสำคัญลำดับต้นๆ ของการปลุกระดมหล่อหลอมผู้คนโดยเฉพาะเยาวชนคนรุ่นหนุ่มให้เชื่ออย่างสนิทใจในการการจับอาวุธเข้าต่อสู้ด้วยความรุนแรงกับรัฐ กลายเป็นกลุ่มคนในพื้นที่ที่จับอาวุธเข้าต่อสู้กับรัฐ อาละวาดสร้างความเสียหายสะเทือนขวัญผู้คนไปทั่ว โดยมีกลุ่มคนที่เป็นแนวร่วมมวลชนที่คอยให้การสนับสนุนการต่อสู้ด้วยความรุนแรงดังกล่าวอย่างสนิทใจว่ากลุ่มตนกำลังต่อสู้เยี่ยงวีระบุรุษแม้จะต้องสูญเสียอะไรไป และเมื่อคนสองกลุ่มนี้ มารวมตัวร่วมขบวนการกันต่อสู้กับรัฐ จึงเป็นการยากที่ฝ่ายรัฐจะสอดแทรกทำความเข้าใจที่ถูกต้องใหม่ได้ว่า ความเชื่อเรื่อง "ชาฮีด" หรือ “วีรบุรุษ” เหล่านั้น เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะประเด็นคือว่าการกระทำด้วยความรุนแรงอย่างที่ผ่านๆ มา จนถึงวันนี้นั้น จะเป็นวีรบุรุษ หรือชาฮีด ตามที่กล่าวอ้างได้อย่างไร ในเมื่อต่อสู้ของคนในขบวนการปลายด้ามขวานเหล่านี้ ล้วนเป็นการต่อสู้เพื่อชาติพันธุ์ ที่อ้างเหตุมาแต่ต้นโดยแท้ หาใช่การต่อสู้เพื่อศาสนาแต่อย่างใดไม่
กรณีเมื่อ 4 พ.ค.64 ที่ผ่านมา ที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง จาก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ได้สนธิกําลัง 3 ฝ่าย ได้ปิดล้อมและปะทะเดือดกับกองกำลังบีอาร์เอ็น(โจรใต้) ในพื้นที่ จากเหตุการณ์ไล่ล่าเพื่อจับกุมบังคับใช้กฎหมายบ้านเมือง ที่กลุ่มคนร้าย จำนวน 3 คน ซึ่งเป็นกองกำลัง BRN. ได้ก่อเหตุสะเทือนขวัญ เข่นฆ่าชาวบ้านผู้บริสุทธิ์อย่างโหดเหี้ยม ด้วยการกราดยิงและเผารถยนต์ส่งสินค้าจาก อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ที่จะไปส่งสินค้ายัง จ.นราธิวาส อันทำให้คนไทยพุทธในตระกูลกิตติประภานันท์ พ่อ-ลูกสาว-หลานชาย เสียชีวิตรวม 3 ศพ บริเวณ ต.ละหาร อ.สายบุรี จ.ปัตตานี นั้น จากการปิดล้อมตรวจค้นไล่ล่ากองกำลังติดอาวุธกลุ่มนี้ มีการต่อสู้ด้วยอาวุธจากกลุ่มคนร้าย มีการปะทะอย่างดุเดือด ทำให้กองกำลัง BRN. (โจรใต้) เสียชีวิต 2 นาย ทราบ ชื่อ นาย รีสวัน เจ๊ะโซะ และ นาย อีลียัส เวาะกา จนท.และสามารถจับกุมได้ 1 นาย ทราบชื่อคือ นายวันฮาซัน อายุ 30 ปี ส่วนฝ่ายรัฐ ต้องสูญเสียเจ้าหน้าที่ทหารพรานไป 1 นาย บริเวณ พื้นที่ บ้านบาตูบือเลาะห ม.2 ต.สะเอะ อ.กรงปินัง จ.ยะลา
เหตุการณ์ครั้งนี้ มีปรากฏการณ์แปลกใหม่ คือ กลุ่มคนร้ายได้ใช้โทรศัพท์มือถือทำการ “วิดีโอคอล” ถ่ายทอดการถูกปิดล้อมและการต่อสู้กับเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อเป็นการปฏิบัติการข่าวสาร (IO) ต่อคนในกลุ่มตนโดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีจิตใจฝักใฝ่และหลงเชื่อในขบวนการแบ่งแยกผู้คนแดนใต้ของรัฐตามวิถี "ชาฮีด" หรือ “วีรบุรุษ” ที่ได้รับการปลูกฝังมาอย่างยาวนาน นับเป็นครั้งแรกในรอบ 17 ปีของไฟใต้ระลอกใหม่ที่ “จูแว” หรือกลุ่มแนวร่วมกระทำเช่นนี้ ซึ่งผลที่เกิดขึ้นตามมากลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาทันที เนื่องจากมีการนำคลิปวิดีโอคอลชุดนี้ ไปเผยแพร่อย่างขวางกว้างในยุคโลกาภิวัตน์ เพื่อต้องการสื่อสารอย่างรวดเร็วไปในวงกว้าง เป้าประสงค์สำคัญที่สุดของวิดีโอคอลครั้งนี้ อยู่ที่ความต้องการให้เข้าเงื่อนไขของการต่อสู้กับเจ้าหน้าที่รัฐ ขัดขืนการจับกุม ฝ่าฝืนกฎหมายของรัฐ ครั้งนี้ให้เห็นว่า เป็นการ “ชาอีด” หรือการสร้างให้ตนเองเป็นวีรบุรุษ ตามที่ได้รับการปลุกปั่นมา หากแต่แท้ที่จริงแล้วการ “ชาอีด” นั้น ต้องเป็นการต่อสู้เพื่อศาสนา หาใช่การต่อสู้อย่างเลื่อนลอยเช่นนี้ไม่
แม้เป็นที่รับรู้ของผู้คนทั่วไปว่าโจรใต้ที่เสียชีวิตไปทั้ง 2 ศพ มีหลักฐานชัดเจนทั้งอาวุธที่ใช้ต่อสู้กับเจ้าหน้าที่รัฐที่ตกอยู่ใกล้ตัวนั้น เป็นคนในขบวนการก่อการร้ายที่มุ่งหวังแบ่งแยกดินแดน ผิดกฎหมายในข้อหาอั้งยี่ ซ่องโจร และได้เข่นฆ่าชาวบ้านผู้บริสุทธิ์อย่างโหดเหี้ยมด้วยการฆ่าแล้วเผาซ้ำ ถึง 3 คนมาก่อนหน้านี้ จึงได้ถูกวิสามัญ เพราะมีการต่อสู้กับเจ้าหน้าที่รัฐด้วยอาวุธของตนมาก่อน โดยไม่ยอมมอบตัว ทั้งยังยิงเจ้าหน้าที่ต้องเสียชีวิตไปด้วย 1 ศพอีกด้วย หากแต่ปรากฏการณ์หนึ่งที่น่าสังเกตว่า มีกลุ่มคนที่คาดว่าจะเป็นแนวร่วม ทั้งชาว ต.สะเอ๊ะ และคนนอกพื้นที่ ซึ่งมาจาก จว.นราธิวาส จำนวนหนึ่ง ที่มาร่วมพิธีศพของฝ่ายตน ต่างมีความเข้าใจว่าเป็นการกระทำเยี่ยงวีรบุรุษตามที่มีความเชื่อสุดโต่งจากการถูกปลูกฝังมาอย่างเป็นขบวนการ โดยสามารถสังเกตได้ว่า ทั้ง 2 ศพที่เสียชีวิตจากการต่อสู้กับเจ้าหน้าท่ารัฐ ได้รับการยกย่องและถูกจัดการเสมือนว่า เป็นการ “ชาอีด” ที่ถือว่าเป็น “วีรบุรุษผู้พลีชีพ” ตามหลักศาสนา ในระหว่างพิธีศพผู้เข้าร่วมมีการเรียงแถวแล้ว “จูบลงบนใบหน้าผู้ตาย” อีกทั้งยังทำการ “วิดีโอคอล” เผยแพร่ไปอย่างกว้างขวางด้วย
ซึ่งโดยข้อเท็จจริงแล้ว การสังหารโหดชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ ทั้งชายหรือหญิงที่ผ่านมาของคนกลุ่มนี้ ได้ก่อเหตุร้ายแล้วหลบหนีมาจนมาถูกเจ้าหน้าที่รัฐไล่ล่ามาพบ และพยายามเข้าจับกุมมาดำเนินคดีตามหลักกฎหมายของรัฐ เพื่อพยายามนำตัวมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมของรัฐ หากแต่ถูกคนร้ายกลุ่มนี้ ขัดขืนการจับกุมและตอบโต้ด้วยอาวุธอย่างรุนแรงต่อเจ้าหน้าที่รัฐ จนทำให้ฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐสูญเสียชีวิตไป 1 คน โดยหลงเชื่อตามที่ถูกปลุกปั่นมาว่า มีการครอบงำจากรัฐต่อชาติพันธุ์มลายูปาตานีของตน การกระทำจนต้องเสียชีวิตของบุคคลทั้งสองจึงเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ไม่มีส่วนไหนที่เกี่ยวข้องกับศาสนาอิสลามเลยแม้แต่น้อย
นอกจากนั้น กลุ่มแนวร่วมของขบวนการบีอาร์เอ็น ยังได้ปฏิบัติการข่าวสาร (IO) ต่อคนในกลุ่มตนโดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีจิตใจฝักใฝ่และหลงเชื่อในขบวนการแบ่งแยกผู้คนแดนใต้ของรัฐ ที่ได้รับการปลูกฝังมาอย่างเป็นขบวนการ ด้วยการเผยแพร่ข่าวสารบริเวณที่เกิดเหตุ โดยเฉพาะสภาพบ้านที่ปรุพรุนไปด้วยรอยกระสุนอย่างละเอียดทุกซอกมุม แม้แต่เสื้อผ้าของคนในบ้านก็ยังถูกนำมาแสดงให้เห็นรอยกระสุน เพื่อต้องการทำลายความชอบธรรมของเจ้าหน้าที่รัฐ โดยมีเป้าประสงค์ในการสื่อสารไปในทำนองว่า มีปฏิบัติการที่ใช้ความรุนแรงของฝ่ายเจ้าหน้าที่แต่เพียงฝ่ายเดียว โดยไม่กล่าวถึงต้นสายปลายเหตุของความจำเป็นต้องใช้อาวุธของเจ้าหน้าที่จนมีการสูญเสียอย่างที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นดังกล่าวแม้แต่น้อย ทั้งยังไม่กล่าวถึงความผิดของเจ้าของบ้านหลังดังกล่าว ที่ให้กลุ่มคนร้ายใช้หลบซ่อน และสื่อออนไลน์ของขบวนการ ยัง IO แสดงความเห็นใจผู้คนในบ้านหลังเกิดเหตุเอาเสียด้วย
ถึงวันนี้หน่วยงานความมั่นคง ต้องตระหนักและให้ความสำคัญมากขึ้นในยุทธศาสตร์และยุทธวิธีการต่อสู้ของขบวนการร้ายแห่งนี้กับรัฐ เพราะเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่า หลายปีที่ผ่านมาการแก้โจทย์ปฏิบัติการข่าวสาร (IO) ของกลุ่มบีอาร์เอ็นในพื้นที่ มีการดำเนินการอย่างเป็นขบวนการคู่ขนานกับการปฏิบัติการระดับยุทธศาสตร์และยุทธวิธีอย่างมีจังหวะจะโคนยิ่ง ในขณะที่หน่วยงานด้านความมั่นคงของรัฐกลับไม่มีแนวทางที่ชัดเจนในการตอบโต้เมื่อถูกตอกย้ำในขบวนการ“ชาอีด” เพื่อสร้าง “วีรบุรุษผู้พลีชีพ” อย่างเลื่อนลอย คู่ขนานกับการปฏิบัติการข่าวสาร (IO) เพื่อมุ่งทำลายความชอบธรรมไม่ว่าจะเป็นการกระทำการใดๆ ของเจ้าหน้าที่รัฐ โดยการใส่ร้ายป้ายสีหรือสร้างความเข้าใจผิดๆ ต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างมืออาชีพ ถึงเวลาแล้วที่รัฐต้องตอกย้ำให้เห็นว่าการก่อเหตุร้ายที่ผ่านมาจวบจนปัจจุบัน เป็นการกระทำของโจรร้าย หาใช่"ชาฮีด" หรือ “วีรบุรุษ” แต่อย่างใดไม่