เมื่อลูกเข้าเท้า จังหวะเข้าทางอย่างนี้ ถ้า "ฝ่ายค้าน" ไม่รีบฉวยเอาไว้ก็คงเสียดายแย่ !
13 พ.ค.64 ที่ผ่านมา "แกนนำพรรคฝ่ายค้าน" เดินทางไปยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อให้ตรวจสอบ ไต่สวน "บิ๊กตู่"พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. เนื่องจากบริหารงานผิดพลาด ล้มเหลวในการแก้ไขการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
โดยพบว่า พล.อ.ประยุทธ์ มีพฤติการณ์ไม่สุจริตส่อไปในทางทุจริต ไม่ถือผลประโยชน์ของประเทศชาติเหนือกว่าประโยชน์ส่วนตน และรู้เห็นหรือยินยอมให้ข้าราชการในปกครองใช้ตำแหน่งหน้าที่แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
และนั่นเป็นเพียง "ดาบแรก" ที่พล.อ.ประยุทธ์ ต้องเจอ ส่วน "ดาบสอง" ตามมาคือการที่ พรรคร่วมฝ่ายค้านยังเตรียม "จัดหนัก" ด้วยการเซิร์ฟเมนคอส วางคิวขอยื่นญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ตามมาอีกระลอก
ด้วยเห็นว่าการบริหารจัดการไวรัสโควิด-19 ของรัฐบาลล้มเหลว และยังพากันคนในประเทศเสียชีวิตจากการติดเชื้อลามมากขึ้นไปอีก
" เนื่องจากรัฐบาลแก้ไขปัญหาบกพร่อง ล้มเหลวอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตาม ขึ้นอยู่กับการหารือร่วมกันของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ซึ่งตนเห็นว่าสถานการณ์นี้เหมาะสมที่สุดที่เราจะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจหลังจากที่เราได้ยื่นร้อง ป.ป.ช.เอาผิด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แล้ว
ทั้งนี้ สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 เกิดขึ้นหลายครั้ง รัฐบาลรับรู้ปัญหาแต่ก็ยังปล่อยให้มีการระบาดเกิดขึ้น เท่ากับรัฐบาลปล่อยปละละเลย ไม่เคยมีเหตุการณ์ที่ประชาชนตายคาบ้านแบบนี้ แสดงให้เห็นว่าระบบสาธารณสุขของเราล้มเหลวจากการบริหารงานของ พล.อ.ประยุทธ์" นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย ระบุตอนหนึ่ง
แม้การยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ของฝ่ายพรรครอบนี้ หากสามารถ ตกลงกันได้และมีมติออกมาเป็นเสียงเดียวกัน จะไม่มีการลงมติก็ตาม แต่นั่นย่อมไม่ใช่ประเด็นหลัก เพราะฝ่ายค้านรู้อยู่แล้วว่า ถ้าสู้กันด้วย "ผลโหวต" ถึงอย่างไรก็ไม่สามารถ "คว่ำรัฐบาล"ลงได้ มิหนำซ้ำยิ่งจะทำให้ตัวเอง เป็นฝ่ายต้อง "ช้ำใจ" เสียเอง เมื่อเห็น "ส.ส.งูเห่า" ปรากฎตัวขึ้นมาในพรรค
แต่เมื่อสถานการณ์วันนี้ ฝ่ายค้านประเมินแล้วว่า ถึงอย่างไร รัฐบาลและ พล.อ.ประยุทธ์ ก็คง "เอาไม่อยู่" เมื่อตัวเลขผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด พุ่งสูงมากขึ้นในแต่ละวันและมีแนวโน้มว่าจะดำเนินไปต่อเนื่อง เพราะยิ่งตรวจเชิงรุก ก็ยิ่งพบ คลัสเตอร์ใหม่ๆ ผุดขึ้นมาทั้งกรุงเทพฯและต่างจังหวัด
อีกทั้งรัฐบาลยังต้องเร่งรณรงค์ให้ประชาชนออกมาฉีดวัคซีน เข็มแรกให้มากที่สุดเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้เกิดขึ้น ก่อนที่สถานการณ์การแพร่ระบาดจะไปถึงขั้นเลวร้ายรุนแรง
เท่ากับว่ารัฐบาลกำลังรับมือกับ ศึกหลายทางในคราวเดียวกัน ทั้งการหยุดยั้งการแพร่ระบาดของไวรัส การควบคุม "จุดอ่อน" ที่จะทำให้เกิดการระบาด ทั้งในชุมชนไปจนถึงตามแนวชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านที่ อีกทั้งยังต้องเร่งทำความเข้าใจ เรียกความเชื่อมั่นมาตรฐานวัคซีนที่รัฐบาลนำเข้ามาไปพร้อมๆกับการจัดการกับ "เฟกนิวส์" ที่ปลุกกระแสปั่นให้คนเกิดความหวาดกลัว จนไม่กล้าไปฉีดวัคซีน
เมื่อรัฐบาลกำลังก้มหน้าก้มตา สะลาวันอยู่กับการแก้ปัญหาเช่นนี้ จึงถือเป็นโอกาสดีที่ฝ่ายค้านจะได้ใช้เวทีสภาฯ เพื่อถล่มได้อย่างชอบธรรม ภายใต้วาระ ที่ว่าตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดิน !