ดร.วิชัย พยัคฆโส [email protected] รัฐบาลวางแผนการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนวันละ 3 แสนโดส โดยให้ประชาชนกลุ่มแรกที่มีหลายล้านคน ได้แก่ ผู้สูงอายุเกิน 60 ปี และมีโรคประจำตัว 7 รายการ ให้ลงทะเบียนล่วงหน้าตั้งแต่ 1 พ.ค.ที่ผ่านมา เพื่อฉีดในเดือน มิ.ย.64 ซึ่งไทยจะได้รับวัคซีนเป็นระยะๆตั้งแต่ มิ.ย. เป็นต้นไป แต่ดูเหมือนว่าประชาชนไม่ค่อยตื่นตัวอยากจะฉีดวัคซีนกันมากนัก เพราะเริ่มทยอยลงทะเบียนมาตั้งแต่ต้นเดือน มีผู้ลงทะเบียนเพียงไม่ถึง 2 ล้านคน จะเนื่องจากความไม่แน่ใจในคุณภาพของวัคซีนหรือไม่นั้นยังไม่มีคำตอบ ทั้งๆที่รัฐพยายามให้ประชาชนได้รับวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้มากที่สุด รัฐบาลรู้ดีว่าโควิด-19 เป็นปัญหาใหญ่ที่กระทบกับเศรษฐกิจของประเทศและ GDP ของไทย จึงพยายามผลักดันการช่วยเหลือเยียวยาหลายรูปแบบเพื่อช่วยให้การเติบโตทางเศรษฐกิจต่ำลงกว่า 2% ก็ตาม เพราะการระบาดของโควิด-19 โจมตีกรุงเทพมหานครและจังหวัดรอบๆกรุงเทพมากที่สุด ยังไม่สามารถควบคุมได้ ภูเก็ตโมเดลเป็นจังหวัดที่แข็งขันในการจะเปิดภูเก็ตใน 1 ก.ค. 64 ตามเป้าหมายเดิม ได้เปิดให้ประชาชนในจังหวัดฉีดวัคซีนให้มากที่สุดคาดว่าน่าจะได้ผล เพื่อส่งผลไปสู่การเปิดประเทศพร้อมกันในวันที่ 1 ม.ค. 65 แต่สิ่งที่น่าจับตามองในการจัดเก็บรายได้ของรัฐสำหรับปี 64 โดยเฉพาะในครึ่งปีแรก ไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้ตามเป้าหมาย อาจไปกระทบกับรายจ่ายในปี 65 ที่จะเข้าพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรปลายเดือนนี้ เช่น การเก็บภาษีของ 3 กรม ได้แก่ สรรพากร สรรพสามิต และศุลกากร รวมกันเก็บได้ 1.06 ล้านล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมายถึง 103,343 ล้านบาท การส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจเก็บได้ 47,780 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมาย 35,006 ล้านบาท รายได้อื่นจากส่วนราชการจัดเก็บได้ 86,862 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมาย 5,047 ล้านบาท โดยสรุปต่ำกว่าเป้าหมายเฉพาะภาษีโดยตรงจากภาครัฐที่จัดเก็บได้ถึงแสนกว่าล้านบาท คาดว่าอีก 6 เดือนเศรษฐกิจยังไม่ฟื้น จะเก็บได้ต่ำกว่าเป้าหมายถึง 2 แสนล้านบาท ในจำนวนนี้ยังไม่รวมรายได้จากการท่องเที่ยวและการส่งออกที่ยังไม่ค่อยจะฟื้นตัว อาการเช่นนี้รัฐบาลต้องยอมให้สภาผู้แทนฯ ตัดงบบางส่วนที่ยังไม่เร่งด่วนออกไป เพื่อให้รัฐมีเงินจับจ่ายได้พอเพียง ไม่ต้องกู้เขามามาก เช่น โครงการต่างๆของกองทัพและมหาดไทย ที่มีตัวเลขสูงมาก ซึ่งสามารถตัดออกไปก่อนได้ ในสถานการณ์เช่นนี้มีบริษัททัวร์หัวใสจัดทัวร์ต่างประเทศพร้อมฉีดวัคซีนในประเทศที่คนต่างชาติฉีดฟรี เช่น สหรัฐฯ และ เซอร์เบียร์ เป็นต้น จึงน่าเป็นห่วงว่ารัฐบาลจะมีเงินลงทุนน้อยลงแต่คงต้องจำใจเว้นว่างไปก่อนสักปีหนึ่ง เมื่อเศรษฐกิจคงตัวและเติบโตในปี 65 จึงขอตั้งงบประมาณใหม่สำหรับปี 2566 ได้อีก เป็นที่แน่ใจแล้วว่าการจัดเก็บภาษีในปี 64 จะไม่ได้ตามเป้าหมาย คงต้องให้หน่วยรับงบประมาณประหยัดและใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้นในปีงบประมาณ 2565 นี้