สมบัติ ภู่กาญจน์
จากบทความของดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ ที่ผมได้อ้างถึงมาแล้วในข้อเขียนตอนแรก อาจารย์ปิยศักดิ์กล่าวว่าเลขาธิการองค์การOECD นายAngel Gurriaบรรยายว่า จุดอ่อนด้านที่สามของเศรษฐกิจสังคมไทยก็คือ ‘การแก่ก่อนรวย’ อันมีที่มาจากสาเหตุดังนี้
“กำลังแรงงานไทยเข้าสู่ระดับสูงสุด แล้วก็เริ่มลดลง (จากจำนวนผู้สูงอายุวัยเกษียณที่มีมากขึ้น แต่จำนวนบัณฑิตใหม่เข้าทำงานมีจำนวนลดลง) โดยใน5ปีข้างหน้า กำลังแรงงานไทย จะลดลงปีละ0.2เปอร์เซ็นต์ ซึ่งหมายความว่า ผู้มีรายได้ ซึ่งจะเป็นกลุ่มเป้าหมายของสินค้าและบริการ กำลังลดลง (ทำให้การบริโภคและการลงทุนในระยะข้างหน้า ลดลงเช่นกัน)
และที่น่าตกใจมากก็คือ เมื่อพิจารณาระดับหนี้ของประเทศ (อันได้แก่ หนี้เอกชน หนี้ครัวเรือน และหนี้สาธารณะรวมกัน) แล้วนั้น ระดับหนี้ของประเทศไทยสูงถึง กว่า156เปอร์เซ็นต์ของGDP ซึ่งหากเทียบกับประเทศในเอเซีย ที่มีหนี้เท่ากับเราหรือมากกว่าเราแล้ว พบว่าเขารวยกว่าเรา (รายได้ต่อหัวของเขาสูงกว่า)ทั้งสิ้น (เช่นมาเลเซีย เกาหลี สิงคโปร์ ฮ่องกง) ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านที่มีหนี้น้อยกว่าเรา( เช่นอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์) ก็มีอายุเฉลี่ยของประชากร ที่น้อยกว่าเราเช่นกัน”
นี่คือ “ อาการแก่ก่อนรวย ” ของไทย ในความเห็นของเลขาธิการองค์การฯOECD
นอกจากข้อเขียนของ ดร.ปิยศักดิ์แล้ว ก่อนหน้านั้นสองวัน ก็ยังมีข้อเขียนอีกหนึ่งชิ้น ที่เขียนโดย รศ. วิทยากร เชียงกูล ที่เขียนไว้ในคอลัมน์ของท่านในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับประจำวันที่๒๘ สิงหาคม ๒๕๖๐ ซึ่งส่วนหนึ่งในข้อเขียน มีข้อความปรากฏดังนี้
“ นักวิจัยจากสถาบันเศรษฐกิจป๋วย อึ้งภากรณ์ พบว่า ไทยมีหนี้ต่อจีดีพีอยู่ที่ 71.2 เปอร์เซ็นต์ สูงเป็นอันดับที่สามของภูมิภาคเอเซียแปซิฟิก และอยู่ในอันดับต้นๆของโลก..........หนี้ส่วนใหญ่คือ หนี้การบริโภคส่วนบุคคล หรือการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต..........ในรอบ 7 ปี (2552-2559) สัดส่วนประชากรเป็นหนี้เพิ่มขึ้นจาก20 เปอร์เซ็นต์เป็น 30 เปอร์เซ็นต์ หนี้เฉลี่ยต่อหัวเพิ่มขึ้นจาก 7 หมื่นบาทเป็น 1.5 แสนบาท คนที่อยู่ในวัยเกษียณ (60-80ปี) มีหนี้ ซึ่งส่วนใหญ่คือสินเชื่อส่วนบุคคลไม่ลดลง บางทีคนสูงอายุยังต้องกู้เพิ่มขึ้นอีก ซึ่งต่างจากประเทศพัฒนาอุตสาหกรรม ที่กลุ่มคนในกลุ่มอายุนี้ หนี้ของเขาจะลดลงหรือหมดไป “
ทั้งสองข้อเขียนนี้ เพิ่มความหมายของ อาการแก่ก่อนรวย ของสังคมไทยให้ชัดขึ้นอีกไหมครับ?
สรุปได้ว่า อาการแก่ก่อนรวย คือสิ่งที่สังคมไทยกำลังประสบอยู่ในปัจจุบัน ขณะที่หลายประเทศในโลก คนแก่ในสังคมกำลังมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น สังคมไทยก็มีคนแก่เพิ่มขึ้นไม่ต่างจากเขาเหมือนกัน แต่สังคมอื่นความจนของผู้คนในสังคมเขา ค่อยๆลดลงไปก่อนที่ความแก่จะย่างเข้ามา แต่สังคมไทยนั้น ความแก่มาถึงก่อน ความรวย(หรือความจนที่ลดลง) ยังมาไม่ถึง ผมจึงอยากชวนเชิญให้ท่านทั้งหลายได้โปรดเงยหน้าขึ้นมาพิจารณา
มาช่วยกันพิจารณาถึงจุดอ่อนที่เรามีอยู่ เราจะปล่อยให้จุดอ่อนเหล่านี้เติบโตขึ้นเรื่อยๆไป หรือว่าจะช่วยขจัดจุดอ่อนให้ลดลงไปบ้าง ซึ่งผมเห็นว่าอาการเสพติดจอ ก็เป็นการเพิ่มจุดอ่อนอีกอย่างหนึ่ง ตรงที่ถ้าเราปล่อยให้การเสพจอกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตแล้ว ความเคยชินนั้นจะทำให้ผู้ติด เสียทั้งเงิน และเสียทั้งเวลา
เวลา ที่ควรจะมีไว้สำหรับสิ่งจำเป็นในชีวิตด้านอื่นๆ เช่นการอ่าน การศึกษา การเรียนรู้สิ่งต่างๆ(ที่อยู่นอกจอ)รอบตัวเรา ถ้ามันมีน้อยลงแล้ว จุดอ่อนด้านการศึกษาของเราก็ยิ่งจะมากเพิ่มขึ้น
เงิน ที่ทุกวันนี้ คนส่วนใหญ่ของประเทศไทย ก็ดูจะมีอยู่ไม่มากนักแล้วนั้น ยังจะต้องควักเพิ่มไปให้เขาอีก เพื่อแสวงหาจอใหม่ๆมาสนองตอบความต้องการของเราให้มากยิ่งขึ้น ความหลงติดนี้เอง ที่ทำให้สังคมพัฒนาอุตสาหกรรมเขารวยขึ้น เป็นสัดส่วนผกผันกับจุดอ่อนจากอาการแก่ก่อนรวยของเรา ก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นอีก
เงยหน้าขึ้นพิจารณากันสักนิดไหมครับ ว่าเราควรจะทำอย่างไรกันดี?
พิจารณาจุดอ่อนของเรากันให้มากๆ ตั้งสติของเรากันให้มั่นๆ ขอให้ช่วยกันคิดว่า เทคโนโลยีใหม่ๆนั้นมีประโยชน์สำหรับมนุษย์ก็จริง แต่มนุษย์พึงใช้มันเท่าที่จะเป็นประโยชน์เท่านั้น อย่าหลงใหลได้ปลื้มหรือหมกมุ่นกับมันจนกลายเป็นเสพติด
ทุกสังคมในโลก ยังมีเรามีเขา
เทคโนโลยีที่ทำให้มนุษย์จมอยู่ในโลกของตัวเอง แม้แต่ในพื้นที่สาธารณะ(ซึ่งมีคนอื่นร่วมอยู่ด้วย)นั้น เราแน่ใจแค่ไหนว่ามันจะสร้างประโยชน์ให้แก่มนุษย์มากกว่าเสียประโยชน์ !
รู้จักประโยชน์ของออนไลน์แล้ว ก็ควรจะต้องรู้จักประโยชน์ของออฟไลน์ด้วย !
สติ คือความระลึกได้ สัมปชัญญะคือความรู้ตัว คำอธิบายง่ายๆนี้มาจากหนังสือนวโกวาท ที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงแต่งไว้ตั้งแต่เมื่อปีพ.ศ.2442 เป็นหนังสือที่น่าจะมีจำนวนพิมพ์จำหน่ายมากมากที่สุดยิ่งกว่าหนังสือใดในประเทศไทยในขณะนี้ ท่านเรียกข้อคิดนี้ว่าเป็นธรรมที่มีอุปการะมากต่อมนุษย์
ในยามที่มนุษย์ในโลกกำลังไร้อุปการะ(ที่ถูกต้องแท้จริง)จากสิ่งต่างๆ ผมอยากฝากธรรมะนี้ไว้เพื่อการพิจารณา
จุดอ่อนสามประการที่คนอื่น(ซึ่งนัยว่าเป็นผู้รู้)เขามองเห็นว่าคนไทยมีอยู่ ในยุคนี้ และ ณ ขณะนี้ คงไม่มีใครแก้ไขหรือขจัด ให้ได้ผลหรือได้ดี เท่ากับตัวของมนุษย์แต่ละท่านเองครับ