ทวี สุรฤทธิกุล
ร.8 สวรรคตยิ่งทำให้สถาบันกษัตริย์แข็งแกร่ง
กรณีสวรรคตของพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลในเช้าวันที่ 9 มิถุนายน 2489 เป็นสิ่งที่ไม่อาจจะคิดได้ว่าจะเกิดขึ้นกับสังคมที่มีความเคารพเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นอย่างยิ่งเช่นสังคมไทย ดังนั้นการเกิดเหตุการณ์ “ที่ไม่อาจคาดคิด” ขึ้นเช่นนี้จึงส่งผลกระทบต่อสังคมไทยอย่างรุนแรง ดังที่มีนักวิชาการและนักประวัติศาสตร์ได้กล่าวไว้ ซึ่งผู้เขียนขอนำมาสรุปเรียบเรียงไว้พอสังเขป ดังนี้
ประการแรก สายตาของคนไทยจำนวนมาก “เพ่งเล็ง” ไปว่าผู้กระทำความผิดนี้จะต้องเป็นผู้ที่ “เกลียดชัง” สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นอย่างมาก ซึ่งในขณะนั้นกลุ่มที่ถูกเพ่งเล็งมากที่สุดก็คือ “คณะราษฎร” ในส่วนที่ได้ล้มล้างระบอบกษัตริย์ในการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 และได้กระทำการ “อุจาด” ต่อบุคคลต่างๆ ในพระราชวงศ์ ไม่เฉพาะแต่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว จนถึงขั้นที่ต้องทรงสละราชสมบัติ และการกระทำต่อบุคคลอื่นๆ อย่างเช่น พระอภิบาลในพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล คือสมเด็จกรมขุนชัยนาทนเรนทร (ดังที่ผู้เขียนได้ค้นข้อมูลนำเสนอมาโดยลำดับ) จนกระทำมีความหวั่นไหวในหมู่พระราชวงศ์ อันเกี่ยวเนื่องกับการเสด็จพระนครที่มีความล่าช้าและไม่แน่นอน กระทั่งในคราวที่ได้เสด็จมาครั้งหลังสุด(และเป็นครั้งสุดท้าย)ในวันที่ 5 ธันวาคม 2488 ก็ได้มีความพะวักพะวงกันอย่างมากในหมู่พระญาติ แม้ที่สุดจะได้เสด็จกลับมาก็ต้องมีการให้หลักประกันต่างๆ เพื่อความปลอดภัยในพระองค์ ซึ่งรัฐบาลก็กระทำไปอย่างกระท่อนกระแท่น กระนั้นก็ต้องเสด็จกลับเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับคนไทย ด้วย “ขัตติยะมานะ” คือความมุ่งหมายเพื่อผลประโยชน์ของชาติมากกว่าส่วนพระองค์
ในเรื่องการถวายการรักษาความปลอดภัยแก่พระเจ้าอยู่หัว ถ้าใครที่ได้อ่านรายงานการสอบสวนในกรณีการสวรรคตก็จะเห็นว่ามีความหละหลวมเป็นอย่างมาก แม้ในที่ประทับคือพระที่นั่งบรมพิมานก็ทำไปอย่างไม่สมพระเกียรติ ผู้ที่เป็นมหาดเล็กก็ไม่ได้ให้ความเคารพหรือถวายการปฏิบัติต่อพระองค์อย่างสมควร เช่น มีการสูบบุหรี่และถ่มทิ้งที่หน้าห้องพระบรรทม รวมถึงเมื่อเกิดมีเสียงพระแสงปืนดังขึ้นก็ไม่ได้เอาใจใส่เข้าไปดูเหตุการณ์ในทันที รวมถึงมีการจัดเวรยามอย่างไม่เอาใจใส่ เป็นช่องทางให้มีการเข้าถึงพระองค์ได้ง่ายๆ รวมทั้งที่มีข้อมูลว่ามีการพูดคุยถึงการถวายการบริบาลต่างๆ อย่างไม่เรียบร้อยด้วย
ในเรื่องของคณะราษฎรที่ตกเป็นจำเลยในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ที่มีการเชื่อมโยงให้เห็นว่ามีผู้นำบางคนของคณะราษฎรน่าจะมีส่วนรับรู้ หรือ “ร่วมสมคบคิด” ในกรณีการสวรรคตนี้ ก็ยังมีกรณีความขัดแย้งในคณะราษฎรเองที่ระหองระแหงมาตั้งแต่ก่อนสงครามมหาเอเซียบูรพา ระหว่างฝ่ายผู้นำทหารกับผู้นำพลเรือน จึงมีผู้สันนิษฐานกันว่า ไม่ว่าในเรื่องกรณีการสวรรคตจะเกิดขึ้นจากฝีมือของฝ่ายใดก็ตาม ก็น่าจะมี “การชักใย” ของผู้นำของคณะราษฎรอยู่เบื้องหลัง คือถ้าฝ่ายพลเรือนไม่ได้เป็นผู้ร่วมสมคบคิด ก็อาจจะเป็นฝ่ายทหารที่ “ใส่ไฟ” หรือสร้างเรื่องให้ฝ่ายพลเรือนเสียหาย ดังที่มีผู้วิเคราะห์ถึงกระบวนการสอบสวนในคดีนี้ที่มีความยืดเยื้อถึง 9 ปี เริ่มตั้งแต่ที่รัฐบาลของนายปรีดี พนมยงค์ ได้ตั้งกรรมการสอบสวนคณะแรกในวันที่ 18 มิถุนายน 2489 หลังวันสวรรคต 9 วัน จากนั้นก็มีการรัฐประหารในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2490 และได้มีการตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ขึ้นมาในช่วงนี้จำนวน 2 ชุด เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลอยู่หลายครั้งภายใต้นายกรัฐมนตรีคนเดิมคือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม กระทั่งมีการส่งฟ้องศาลใน พ.ศ. 2492 โดยศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาใน พ.ศ. 2494 และศาลฎีกาใน พ.ศ. 2498 โดยได้มีคำพิพากษาประหารชีวิตมหาดเล็กจำนวน 3 คน
คดีนี้ได้มีความพยายามของฝ่ายที่ถูกกล่าวหา “เบี่ยงเบน” ให้ผู้คนเชื่อว่าเป็นการ “ใส่ความ” ของผู้ที่เป็นคู่ขัดแย้ง ถึงขั้นที่โจมตีว่าพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นศัตรูกับกลุ่มการเมืองที่หนุนนายปรีดี ได้จ้างให้คนไปตะโกนในโรงหนังว่า “ปรีดีฆ่าในหลวง” อีกทั้งฝ่ายที่ถูกกล่าวหาก็พยายามที่จะซัดว่าจอมพล ป.เป็นผู้อยู่เบื้องหลังของการทำลายนายปรีดี ดังกรณีที่มีการกล่าวหาว่านายปรีดีเป็นหัวหน้าก่อการกบฏใน พ.ศ. 2492 ในกรณที่เรียกว่า “กบฏวังหลวง” โดยได้มีความพยายามที่จะสังหารจอมพล ป. ซึ่งได้ทำให้นายปรีดีต้องลี้ภัยไปอยู่ที่ฝรั่งเศสและไม่ได้กลับประเทศไทยอีกเลย รวมถึงกรณี “กบฏแมนฮัตตัน” ในอีก ๒ ปีต่อมา ที่ทหารเรือกลุ่มหนึ่งพยายามจะจับตัวจอมพล ป. ก็มีการเชื่อมโยงว่ากลุ่มของนายปรีดีมีส่วนร่วมรับรู้และสนับสนุน
จากกรณี “การล้างแค้นกันเอง” ของคณะราษฎรดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นแรงกระทบที่ฝ่ายเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์รู้สึก “ยินดีปรีดา” เป็นอย่างยิ่ง บ้างก็ว่านี่แหละคือ “เวรกรรม” ที่ “สมควรอย่างยิ่ง” สำหรับคนที่โค่นล้มสถาบันอันเป็นที่เคารพรักและเทิดทูนยิ่งของพวกเขา ทั้งนี้ถ้าหากมองในแง่จิตวิทยาสังคม ก็อาจจะแสดงถึง “กระแสสังคมที่หวนกลับ” อันเปิดช่องให้ผู้คนได้แสดงความรู้สึกที่แม้จริงออกมา หลังจากที่ถูกคณะราษฎรนั้นกดขี่มากว่า 10 ปี นั่นก็คือ “กระแสกษัตริย์นิยม” ที่กำลังก่อตัวขึ้นอย่างรุนแรง
เป็นกระแสย้อนกลับที่มั่นคงมาอย่างสืบเนื่องยาวนาน