ทวี สุรฤทธิกุล
กรณี ร.8 สวรรคตคือจุดจบของคณะราษฎร การเสด็จกลับนิวัติพระนครของในหลวงรัชกาลที่ 8 ใน พ.ศ. 2481 ได้นำความ “หวั่นใจ” มาสู่คณะราษฎรที่ครองอำนาจเหนือแผ่นดินไทยในขณะนั้นเป็นอย่างมาก ถึงขั้นที่ต้องมีการหาทางกำจัดบรรดาบุคคลที่ใกล้ชิดพระองค์อย่างกรมขุนชัยนาทนเรนทร พระอภิบาลในพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งสร้างความสะเทือนใจแก่พระบรมวงศานุวงศ์เป็นอย่างยิ่ง รวมทั้งคนไทยทั้งแผ่นดินที่รักและเคารพในสถาบันพระมหากษัตริย์ ล้วน “หวาดหวั่น” ถึงภัยที่กำลังคุกคามเข้าสู่สถาบันที่พวกเขาเทิดทูนสูงสุดนั้นด้วย
ในขณะเดียวกันก็มีความร้าวฉานในคณะราษฎร อันเนื่องมาจากหลวงพิบูลสงครามที่ได้ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีแทนที่พระยาพหลพลพยุหเสนาที่ลาออกไป ได้ดำเนินนโยบายกวาดล้างศัตรูทางการเมือง ทั้งด้วยข้อหาก่อการกบฏและการประทุษร้ายต่อชีวิตบุคคลสำคัญในคณะรัฐบาล ซึ่งผู้ที่ถูกจับกุมส่วนใหญ่เป็นผู้ที่สนับสนุนพระยาทรงสุรเดช ผู้ซึ่งไม่เห็นด้วยกับแนวทางของหลวงพิบูลสงครามที่ปฏิบัติต่อพระบรมวงศานุวงศ์อย่างรุนแรง ทำให้พระยาทรงสุรเดชที่พ้นตำแหน่งไปพร้อมกันกับพระยาพหลฯหมดอำนาจไปจากคณะราษฎร คณะราษฎรจึงยังคงเหลือแต่หลวงพิบูลสงครามและหลวงประดิษฐ์มนูธรรม ที่ก็กำลังเริ่มระหองระแหงด้วยนโยบายที่ขัดแย้งกันทั้งภายในและภายนอกประเทศ
ดังที่ทราบกันดีแล้วว่าหลวงประดิษฐ์มนูธรรมพยายามที่จะนำแนวคิดในแนวสังคมนิยมมาใช้ในการปกครองประเทศ ในขณะที่หลวงพิบูลสงครามค่อนข้างจะมีแนวคิดในแนวอนุรักษ์นิยม โดยหลวงประดิษฐ์ฯมีฐานหนุนเป็นสมาชิกเสียงส่วนใหญ่ในสภาผู้แทนราษฎร ในขณะที่หลวงพิบูลฯคุมอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จในกองทัพและคณะรัฐมนตรี ซึ่งเมื่อมีเรื่องนโยบายและกฎหมายต่างๆ ที่จะต้องเข้าพิจารณาในรัฐบาลหรือรัฐสภา ก็จะมีการคัดง้างกันผ่าน “นอมินี” ของทั้งคนสองอยู่เป็นประจำ แต่ว่าเป็นคราวประจวบเหมาะที่มีกรณีเรียกร้องดินแดนคืนจากฝรั่งเศส เกิดเป็นสงครามตามภูมิภาคชายแดนลาวและกัมพูชาที่เรียกว่า “สงครามอินโดจีน” ซึ่งรัฐบาลไทยประสบชัยชนะ ทำให้ฐานะอำนาจของหลวงพิบูลฯแข็งแกร่งยิ่งขึ้น รวมถึงที่ได้มีการ “อวยยศ” จากพันโทเป็นจอมพลภายใน 3 ปี พร้อมกับให้มีการยกเลิกบรรดาศักดิ์ขุนนาง หลวงพิบูลฯจึงเปลี่ยนเป็นจอมพล ป. พิบูลสงคราม และหลวงประดิษฐ์ฯเปลี่ยนเป็นนายปรีดี พนมยงค์
หลังสงครามอินโดจีนไม่นานก็ตามมาด้วยสงครามมหาเอเซียบูรพา ซึ่งก็คือที่ญี่ปุ่นได้ขยายแสนยานุภาพเข้ามาเป็นมหาอำนาจแทนที่ชาติยุโรปที่เคยครองดินแดนแถบเอเซียนี้ทั้งหมด ตั้งแต่แมนจูเรีย จีน เกาหลี และอินโดจีน ในฝ่ายไทยจอมพล ป. เห็นควรสนับสนุนญี่ปุ่น แต่นายปรีดีฯอยากให้ไทยเป็นกลาง ระหว่างนั้นก็พอดีเกิดสงครามขึ้นยุโรป กลายเป็นสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นในตอนนั้นก็บุกไปถึงแปซิฟิคด้วยกำลังทหารที่มหาศาล จนสามารถยึดหมู่เกาะต่างๆ ได้เกือบหมด และเตรียมที่จะโจมตีหมู่เกาะฮาวายของสหรัฐอเมริกา ที่สุดรัฐบาลไทยก็ยอมเข้าด้วยญี่ปุ่น โดยที่ฝ่ายนายปรีดีฯได้แอบไปทำข้อตกลงกับชาติยุโรปและสหรัฐอเมริกาจัดตั้งกำลังใต้ดินเข้าต่อต้าน เรียกว่า “เสรีไทย” ดังนั้นเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของญี่ปุ่น แล้วฝ่ายเสรีไทยคือนายปรีดีฯและพรรคพวกก็ยึดครองทั้งในรัฐสภาและรัฐบาล แล้วก็ตั้งข้อหาจอมพล ป.ว่าเป็นอาชญากรสงคราม แต่ที่สุดก็พ้นคดีเพราะศาลตัดสินว่ากฎหมายไม่มีผลย้อนหลัง แต่สื่อบางฉบับก็บอกว่าเป็นการ “เล่นละคร” หรือ “ลูบหน้าปะจมูก” เพราะจอมพล ป.ยังมีอิทธิพลมากอยู่
ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 8 ยังคงประทับอยู่ที่สวิสเซอร์แลนด์ ก่อนจะสิ้นสุดไม่นานขณะที่ฝ่ายอักษะในยุโรปที่มีเยอรมันภายใต้การนำของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ กำลังเพลี่ยงพล้ำ จอมพล ป.ก็ลาออกจากนายกรัฐมนตรี นายปรีดีจึงขึ้นมามีอำนาจอย่างเต็มตัว โดยได้รับการแต่งตั้งจากรัฐสภาที่ตนเองกุมเสียงข้างมากอยู่นั้นให้ขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แต่เพียงผู้เดียว ในขณะที่ในรัฐบาลก็ล้วนแต่เป็นคนของนายปรีดีทั้งสิ้น เริ่มจากแต่งตั้งให้นายทวี บุณยเกตุ เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ก็อยู่ในตำแหน่งได้เพียง 7 วันก็ตั้งนายควง อภัยวงศ์ ขึ้นมาแทน ซึ่งทั้ง 2 คนนี้ก็คือแกนนำคณะราษฎรตั้งแต่แรกๆ นั่นเอง
นายควง อภัยวงศ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรีได้ออกกฎหมายนิรโทษกรรมปลดปล่อยนักโทษการเมืองทั้งหมด ในวันที่ 20 กันยายน 2487 อันเป็นวันพระราชสมภพของพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ในจำนวนนี้ก็มีกรมขุนชัยนาทนเรนทรด้วย นำความแช่มชื่นกลับมาสู่พระราชวงศ์และพระญาติ เป็นนิมิตหมายถึงการคืนสู่ปกติของสังคมไทย สิ่งนั้นก็คือ “ความศักดิ์สิทธิ์” ของสถาบันพระมหากษัตริย์ และในปีต่อมา 20 กันยายน 2488 ก็เป็นวันที่พระเจ้าอยู่หัวทรงบรรลุนิติภาวะ มีข่าวว่ารัฐบาลจะมีการเฉลิมฉลองและกราบบังคมทูลอัญเชิญเสด็จกลับมาประเทศไทย เพื่อขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติอย่างสมบูรณ์ เป็น “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ให้เป็นมิ่งขวัญแก่ปวงอาณาประชาราษฎรต่อไป
นับเป็นเวลาเกือบ 7 ปีที่คนไทยได้รอคอยการเสด็จกลับมาในครั้งที่ 2 เพราะได้ทรงนิวัติพระนครในวันที่ 5 ธันวาคม 2488 หลังจากที่ทรงเสด็จกลับไปศึกษาต่อ ณ ประเทศสวิสเซอแลนด์เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2481 คนไทยทั้งปวงต่างก็หวังว่าประเทศไทยคงจะเป็นปกติสุขและเจริญรุ่งเรืองต่อไป ภายใต้พระบารมีของพระมหากษัตริย์พระองค์นี้ โดยไม่เคยคิดว่าจะมีเหตุร้ายอันใดมาแผ้วพาลพระองค์ ทุกคนต่างเปล่งเสียงว่า “ทรงพระเจริญ” ไปทั้งแผ่นดิน