สถาพร ศรีสัจจัง
ในห้วงเวลา 6 ทศวรรษเต็ม เริ่มมาตั้งแต่ช่วงต้นของทศวรรษ 2500 คือ ปีพ.ศ. 2504 ซึ่งเป็นปีแรกในการประกาศใช้ “แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ” (ยังไม่มีคำว่า “และ สังคม” ) จนถึงปัจจุบัน ปี พ.ศ. 2564 ที่บรรดา “ผู้ชำนาญการ”(Technocrat) “กำลังเร่งร่าง” แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ “ฉบับที่ 13 กันอยู่อย่างหน้าดำคร่ำเครียด ( เพื่อนำมาใช้ “พัฒนา” สังคมไทยให้บรรลุตามเป้าประสงค์ของผู้มีอำนาจบางกลุ่ม ภายใต้การผลักดันของกลุ่มทุนที่หวังประโยชน์เฉพาะพวกตนเป็นหลักบางกลุ่ม?) สถานการณ์ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมวัฒนธรรมของประเทศไทยเราเป็นอย่างไรกันบ้าง?
มีนักคิดบางคนบางบางกลุ่มตั้งข้อสังเกตว่า การพัฒนาเศรษฐกิจในรอบ 60 ปีของไทย ได้สถาปนาระบอบเศรษฐกิจ การเมือง แบบที่นำความเหลื่อมล้ำอย่างรุนแรง(ที่สุด)มาให้สังคมไทยแทบทุกด้าน!
เป็นการพัฒนาแบบ “ตามก้น” ระบบทุนบริโภคนิยมผูกขาดตามแนวคิดของประเทศจักรพรรดินิยมตะวันตกอย่างไม่ลืมหูลืมตา และอย่างละเลยลืมเลือนเงื่อนเหตุทางอัตวิสัยของตนเอง
จึงเป็นการพัฒนาแบบที่อาจสรุปได้เป็นวลีสั้นๆเพียงว่า “จากมีสู่ไม่มี” !(หรือจิ๊กโก๋อาจเรียก “จากความมงคลไปสู่ความฉิบหาย?)
จากมีอะไรสู่ไม่มีอะไร? และ อย่างไรกันละ?
คำตอบแบบสรุปสั้นๆง่ายๆสุดก็คือ จากเคยมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดพัฒนาไปสู่ความสูญสิ้นซึ่งทรัพยากรณ์ธรรมชาติเหล่านั้น!
คำตอบก็คือ จากสังคมที่เคยมีวัฒนธรรม(โครงสร้างชั้นบนของสังคม) กลับกลายเป็นสังคมที่ล่มสลายทางวัฒนธรรม จริยธรรม กลายเป็นสังคมที่ผู้คนต้องตกอยู่ในกระแส “มุ่งสู่ความทันสมัย" ตามแบบ ตะวันตก เจ้าของรูปแบบระบบความสัมพันธ์ทางการผลิตที่กลุ่มชนชั้นนำผู้กุมอำนาจในสังคมไทยในอดีตไปสมาทานรับมาในห้วงเวลาแห่ง “การพัฒนาประเทศไปสู่ความทันสมัย”(Modernization)ในห้วงเวลาเพียง 60 ปีดังกล่าว
ใครที่มีโอกาสได้เห็นและทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง กับค่าสถิติต่างๆของประเทศไทยเมื่อถึงวันนี้ ทั้งในเรื่องความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ความล้าหลังของระบบการเมือง ความอ่อนแอและไร้ทิศทางเกี่ยวกับนโยบายด้านการศึกษา(รวมวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี) และ ความล่มสลายทางวัฒนธรรมจริยธรรม อย่างแท้จริงชัดเจน
ย่อมจะเห็นและตระหนักชัดถึงภาพลักษณ์ของประเทศตามที่นักคิดนักสังเกตการณ์ทางสังคมบางกลุ่มบางคนบอกว่า “จากมีสู่ไม่มี” ที่เป็นผลิตผลของ “แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ” ในรอบ 6 ทศวรรษดังกล่าวอย่างไร!
คนรวยคนมั่งคั่ง ที่เป็นคนกลุ่มน้อยที่สุด(กระจิริด)ของสังคมไทย ที่พัฒนาขึ้นมาเป็นกลุ่มทุนผูกขาดด้านต่างๆในสังคม เพิ่งปรากฏให้เห็นชัด ก็ในรอบ 60 ปีดังว่านี้เอง
ทั้งกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับระบบวงจรการเกษตรกรรมของชาติ ระบบการค้าส่ง ค้าปลีก ระบบ และ วงการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจการท่องเที่ยวและการบันเทิงเริงรมย์ ฯลฯ
ดูตัวอย่างง่ายๆ อย่างกรณีกลุ่มคุณทักษิณ ชิณวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีก็ได้ ว่าเพราะเหตุปัจจัยอะไรที่ทำให้เขาสามารถพัฒนาความมั่งคั่งในการถือครองทรัพย์สินเพียงจากประมาณทศวรรษ 2530 ถึงปัจจุบัน จาก “มีน้อย” เป็น “มีมาก” ได้อย่างที่เห็นๆและรู้ๆกันอยู่?
ลองตั้งคำถามและตรวจสอบกันให้จริงๆดูทีเถอะว่า ในรอบ 60 ปี หรือ 6 ทศวรรษแห่งการพัฒนาประเทศไปสู่ความทันสมัยของประเทศไทยที่เพิ่งผ่านมาหมาดๆนั้น เราต้องสูญเสียเฉพาะ “ทรัพยากรธรรมชาติ” ไปแล้ว เป็นจำนวนมากมายมหาศาลเท่าไหร่? และเสียให้แก่ใคร?
สินแร่ธรรมชาติ ตั้งแต่ดีบุก วุลแฟรม จนถึงทองคำ และแร่อื่นๆ จำนวนมากมายมหาศาล หมดไปจากแผ่นดินแผ่นน้ำแล้วเท่าไหร่?ลองคิดราคาที่รัฐไทยเคยได้รับเป็นส่วนแบ่งมาดูซิ ว่าคุ้มไหม?
ป่าไม้สำหรับควบคุมดุลยภาพภูมิเขตแบบร้อนชื้นละ?หมดประเทศไปเพราะการถูกสัมปทานตัดขายและเพราะถูกบุกรุกเพื่อปลูกพืชเชิงเดี่ยวเพื่อส่งเสริมการส่งออกไปแล้วกี่ล้านต้นหรือกี่ตารางกิโลเมตร?
แผ่นดินที่เคยอุดมสมบูรณ์ ต้องกลายเป็นผืนดินปนเปื้อนสารเคมี(ทั้งปุ๋ยและยา) เพราะแรงส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตตามแนวทางเกษตรกรรมแบบทุนนิยมไปหมดทั้งประเทศแล้วหรือยัง?
แล้วมรดกทางวัฒนธรรม จริยธรรมอันดีงาม ที่พัฒนาขึ้นมาจาก “รากสังคม” ของเราเองละ ? ยังหลงเหลืออยู่จริงใน “วิถี” ของผู้คนสักเท่าไหร่? ลองไปดูการสืบสานต่อยอดทางวัฒนธรรมไทยในหมู่อนุชนเยาวชนไทยวันนี้ดูซิว่า กลายเป็นฝรั่ง เป็นเกาหลี เป็นจีน หรือญี่ปุ่น ไปจนหมดประเทศแล้วหรือยัง?
และความไร้คารวธรรม ความหยาบคาย ยาเสพติด ฯลฯ ละมาจากไหนกัน?
ฯลฯ
สวัสดีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13!
สวัสดี ประเทศไทยภายใต้เงื้อมมือของนายกฯลุงตู่ (และคณะ)!!!!