ดร.วิชัย พยัคฆโส
[email protected]
หลังจากรัฐบาลได้ทลายหมู่บ้านทะลุฟ้าจนไม่สามารถตั้งหลักอยู่แถวทำเนียบรัฐบาลจนราบคาบแล้ว แม้ว่าจะมีมืออาชีพรุ่นใหญ่จะเข้ามาเป็นแกนนำเพื่อดึงมวลชนให้กลับมาใหม่ จะสามารถดึงมวลชนได้หรือไม่คอยดูกันต่อไป
ในขณะที่แผนเปิดประเทศแหล่งท่องเที่ยว 6 จังหวัดจะเริ่มตั้งแต่ เม.ย.64 เป็นต้นไป เช่น กักตัว 7 วันสำหรับ 1 เม.ย. – 30 มิ.ย. 64 และไม่กักตัวหากวัคซีนครบโดสแล้วตั้งแต่ 1 ก.ค. 64 ไปจนถึงเปิดประเทศ 1 ม.ค. 65 เป็นการเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจการท่องเที่ยวในระยะยาว
ในขณะเดียวกันรัฐบาลได้ออกมาผลักดันโครงการ “พีพีพี” ระหว่างการลงทุนภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศปี 2564 อีก 2 แสนล้านบาทอาจทำให้เงินไหลหมุนเวียนอย่างน้อย 4 รอบหรือประมาณ 1 ล้านล้านบาทในปี 64 นอกเหนือจากนี้ภาคเอกชนมีแผนจะลงทุนในปี 64 เป็นต้นไป เช่น แผนพดัฒนาเมกะโปรเจกต์มิกส์ยูส และการลงทุนธุรกิจพลังงานในปี 64 ซึ่งยังไม่รวมแลนด์บริดจ์จากภาคตะวันออกไปยังภาคตะวันตก ซึ่งเป็นโครงการระยะยาวอีก 9 แสนล้านบาท คงพอมองเห็นอนาคตของประเทศไทยจะโชติช่วงชัชวาลแค่ไหน คงต้องรอดูความเข้มแข็งของระบบบริหารประเทศ
สำหรับโครงการ PPP ในปี 64 มูลค่า 207,449 ล้านบาทซึ่งเป็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข และ EEC ประกอบไปด้วย (จากข้อมูลของกรุงเทพธุรกิจ)
1.ระบบทางพิเศษมอเตอร์เวย์ ได้แก่ กะทู้-ป่าตอง 14,177 กรุงเทพ-บ้านฉาง 1,708 บางปะอิน-นครราชสีมา 1,606 บางใหญ่-กาญจนบุรี 1,454 ล้านบาท
2.ระบบราง ได้แก่ รถไฟฟ้าสายสีม่วง 124,791 ระบบขนส่งมวลชนภูเก็ต 35,201 โมโนเรลหาดใหญ่-สงขลา 17,500 ล้านบาท
3.ท่าเรือ บริหารท่าเทียบเรือสาธารณะขนถ่ายสินค้า 2,103 ล้านบาท
4.สาธารณสุข ศูนย์การแพทย์กระทรวงสาธารณสุข 8,220 ล้านบาท
5.โครงการอยู่ในระหว่างการประมูล 4 โครงการได้แก่ รถไฟฟ้าสายสีส้ม 142,768 มอเตอร์เวย์บางปะอิน-นครราชสีมา 7,965 มอเตอร์เวย์บางใหญ่-กาญจนบุรี 6,098 และศูนย์ขนส่งชายแดนจ.นครพนม 1,307 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังมีภาคเอกชนจะลงทุนเองในปี 64 คือการลงทุนด้านธุรกิจพลังงานอีกหลายรายการ ได้แก่
กลุ่มเซ็นทรัลพัฒนา งบลงทุน 17,000-19,000 ล้านบาท
กลุ่ม ปตท. งบลงทุน 240,000 ล้านบาท
กลุ่มบีกริม งบลงทุน 45,000-50,000 ล้านบาท
กลุ่มกัลป์ งบลงทุน 40,000-40,000 ล้านบาท
สำหรับโครงการระยะยาว ภาคเอกชนจะลงทุนพัฒนาเมกะโปรเจกต์มิกส์ยูสหลายโครงการมูลค่ามากกว่า 400,000 ล้านบาทในกรุงเทพมหานคร
เอาเพียงเท่านี้พอจะมองเห็นอนาคตประเทศไทยว่าจะรอดหรือไม่อย่างไร กับทั้งโครงการ EEC หวังให้ไทยเป็นศูนย์กลางขนส่งน้ำมันและศูนย์โลจิสติกส์ของอาเซียนอีกด้วย
รัฐบาลพอจะยืนอยู่บนขาตัวเองได้แล้ว และสร้างสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้นโดยเร็ว เท่ากับว่าไทยสามารถจะฟื้นฟูเศรษฐกิจได้ในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะ GDP 4% คงพอมองเห็นทางสว่างกันแล้ว สำหรับด้านการเมือง หากวุ่นวายมากนัก นายกฯตู่มีการยุบสภาอยู่ในมือเพื่อเลือกตั้งกันใหม่พร้อมกับ รธน.ปี 2560 อยู่แล้ว