พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ 2542 ให้ความหมายคำ “หัวหมอ” ว่า “น.บุคคลที่ชอบตั้งตัวเป็นเสมือนผู้รอบรู้หรือนักกฎหมาย อ้างเหตุอ้างผลเพื่อโต้แย้งในเรื่องต่าง ๆ” คนหัวหมอที่ตั้งตัวเสมือนผู้รอบรู้ ส่วนหนึ่งชอบอ้างว่า ในสังคมประชาธิปไตยผู้คนต้องมีเสรีภาพที่จะทำอะไรก็ได้ “ประชาธิปไตย” กับ “เสรีภาพ” ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน
ม.ร.ว คึกฤทธิ์ ปราโมช อธิบายไว้ว่า “สิ่งที่เราควรจะเข้าใจเสียในเบื้องแรกก็คือ ประชาธิปไตยกับเสรีภาพนั้นมิใช่ของอย่างเดียวกัน ทั้งนี้มิได้หมายความว่าประชาธิปไตยกับเสรีภาพนั้นขัดกัน หรือไปด้วยกันไม่ได้ สิ่งที่ควรเข้าใจนั้น คือประชาธิปไตยกับเสรีภาพเป็นของคนละอย่าง และไม่จำเป็นจะต้องมีอยู่พร้อมกันเสมอไปเท่านั้นเอง เมื่อเรายอมรับความจริงข้อนี้เสียแล้ว ปัญหาของศัพท์ “เสรีประชาธิปไตย” ก็พอจะเข้าใจได้ และปัญหาของความยิ่งหย่อนแห่งเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตยก็พอจะเข้าใจได้ และเมื่อเข้าใจแล้วก็พอจะหาทางแก้ไขได้ หรืออย่างน้อยก็พอจะอดทนได้ ไม่กระวนกระวายใจจนเกินไป
ที่ได้กล่าวมาว่าประชาธิปไตยกับเสรีภาพเป็นของคนละอย่างนั้น ก็เพราะระบอบประชาธิปไตยนั้นเกี่ยวกับ “การกำหนดว่าใครจะเป็นผู้ปกครองแผ่นดินและถือเอาว่าประชาชนจะต้องปกครองแผ่นดิน โดยอาศัยความเห็นชอบของคนหมู่มากเป็นเกณฑ์” ส่วนระบอบเสรีนิยมนั้นเกี่ยวกับปัญหาว่า “ผู้ที่ปกครองแผ่นดินนั้น ควรจะปกครองอย่างไรจึงจะเป็นธรรม” และธรรมะของระบอบเสรีนิยมนั้นก็คือการเคารพสิทธิของชนส่วนน้อย เสรีภาพในการพูด การเขียนแสดงความคิดเห็น เสรีภาพในการนับถือศาสนาอื่น ๆ เท่าที่พูดมานี้พอจะเห็นได้ว่าประชาธิปไตยเป็นเรื่องของ “ใคร” ในการปกครอง ส่วนเสรีนิยมเป็นเรื่องของ “อย่างไร” หรือวิธีไรในการปกครอง
ระบอบประชาธิปไตย หรือสิทธิ์และอำนาจของประชาชนที่จะปกครองคนด้วยตนเองนั้น มิใช่ของที่มีกำเนิดขึ้นในเมืองไทยแต่ดั้งเดิมเป็นแน่ ฉะนั้นเมื่อพูดถึงเรื่องนี้เราก็ต้องนึกถึงประเทศอังกฤษและอเมริกา ซึ่งทั่วโลกยอมรับว่าเป็นแม่บทของระบอบประชาธิปไตย แต่ถ้าเราจะศึกษาประวัติของสองประเทศนี้แต่เพียงเล็กน้อย เราก็จะเห็นได้ว่า รากฐานแห่งเสรีภาพนั้นมีอยู่ในสองประเทศนี้ช้านาน ก่อนที่จะเกิดความคิดเห็นทางประชาธิปไตยให้มีการปกครองให้มีการปกครองโดยประชาชน เอกสารประกาศสิทธิเสรีภาพ (Bill of Rights) ของคนอังกฤษนั้นบังเกิดขึ้นใน ค.ศ 1689 แต่สิทธิเลือกตั้งทั่วไปในอังกฤษนั้น บังเกิดขึ้นเมื่อ 200 ปีภายหลัง ฉะนั้นหลักการประชาธิปไตยของอังกฤษในปัจจุบันที่ว่า “ อำนาจทั้งปวงย่อมอยู่ใต้กฎหมาย กฎหมายนั้นจะออกได้ แก้ได้ และยกเลิกได้ เฉพาะแต่ตามวิธีการที่ได้กำหนดไว้ และรัฐบาลอันชอบธรรมคือรัฐบาลที่ได้รับการยินยอมเห็นดีเห็นชอบของผู้ที่อยู่ใต้การปกครอง” จึงมิใช่หลักการที่ประชาชนผู้มีสิทธิ์อำนาจในปัจจุบันเป็นผู้กำหนดขึ้น แต่เป็นหลักการอันเกิดจากเหตุผลอันสุจริตของชนส่วนน้อยที่มีอำนาจในการปกครองแผ่นดิน ผู้ซึ่งต้องใช้เวลาช้านานในการกำหนดหลักการเหล่านี้ขึ้น”
(ปาฐกถาเรื่อง “ประชาธิปไตยกับเสรีภาพ” แสดงที่หอประชุมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2499)