ดร.วิชัย พยัคฆโส [email protected] นายกรัฐมนตรีกับคณะได้เริ่มฉีดวัคซีนกันแล้ว เพื่อสร้างความมั่นใจในภาพรวมให้ประชาชนได้เห็นว่าวัคซีนจะสามารถลดอาการเจ็บไข้ได้ป่วยเกี่ยวกับโควิด-19 ได้ คาดว่ารัฐบาลคงเร่งระดมฉีดให้กับประชาชนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงโดยเร็ว ในขณะเดียวกันการปรับ ครม. คงจะเห็นผลกันแล้ว โดยคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งบุคคลหน้าใหม่ๆเข้ามารับตำแหน่ง โดยชะลอการโยกย้ายคนเก่าๆไว้ก่อน แสดงให้เห็นว่านายกรัฐมนตรีมีความมุ่งมั่นที่จะแก้ภาพลักษณ์ของรัฐมนตรีเก่าที่ไม่ค่อยจะมีผลงานเด่นชัด งบประมาณปี 65 สำนักงบประมาณได้สรุปออกมาแล้วว่าจะขาดดุล 7 แสนล้านบาท จากงบประมาณทั้งหมด 3.1 ล้านล้านบาท ลดลงจากปี 2563 1.85 ล้านบาท หรือ 5.4% โดยประมาณการจัดเก็บรายได้ 2.4 แสนล้านบาท บนสมติฐานว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว 4-5% ซึ่งในปี 2565 มีคำของบประมาณจากหน่วยงานงบประมาณที่เป็นข้าราชการและหน่วยอื่นๆถึง 5.24 ล้านล้านบาท ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ให้แนวคิดของงบประมาณสำหรับกลุ่มคนชราและเด็กแรกเกิด รวมถึงบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เป็นเงิน 1.5 ล้านล้านบาท โดยชะลองบประมาณในส่วนนี้เป็นงบประจำและงบประมาณที่ยังไม่เร่งด่วน เพื่อนำมาจัดสรรตามกรอบของงบประมาณของปี 65 แต่ดูเหมือนว่ารัฐบาลจะให้งบลงทุนแก่หน่วยรับงบประมาณที่มุ่งเน้นการปฏิรูปตาม สศช. เสนอ โดยเฉพาะโครงการ s-curve ที่เป็นความต้องการในอนาคตได้รับงบประมาณเพิ่มขึ้น และกระทรวงศึกษาธิการได้รับงบประมาณมาเป็นอันดับ 1 ตามด้วย กระทรวงมหาดไทยมาเป็นอันดับ 2 ประเด็นที่น่าสนใจคืองบกลางลดลงที่นายกรัฐมนตรีจะใช้เพียง 8.9 หมื่นล้านเท่านั้น และคงต้องดูว่ารัฐบาลจะกู้อีกเท่าใดจะเกิน 60% ของ GDP หรือไม่ ซึ่งคงต้องแสดงที่ไปที่มาในจุดนี้ แม้ว่ารัฐธรรมนูญจะยังไม่ลงตัว เพราะวาระ 3 ถูกคว่ำลงก็ตาม แต่รัฐบาลยังต้องเดินหน้า ซึ่งจะมีโครงการช่วยเหลือข้าราชการผู้น้อยเพิ่มอีก 1 ล้านคนและโครงการของส่วนภูมิภาคอีก 6.3 หมื่นล้านบาท ทั่วถึงทั้ง6ภูมิภาคเพื่อให้ GDP ขยับสูงขึ้น รัฐบาลได้รัฐมนตรีคนใหม่มาร่วมงาน คงจะพอมีกำลังฟันฝ่าอุปสรรคในยุคปัจจุบันไปได้ แต่รัฐมนตรีใหม่ยังไม่เคยผ่านงานบริหารประเทศที่มีปัญหาสะสมมานาน ดังเช่นกระทรวงศึกษาธิการ จะต้องได้คนที่บริหารเชิงรุกมากกว่าการตั้งรับ ทำงานไปวันๆหนึ่งเท่านั้น เพราะกระทรวงนี้มีปัญหามากมายทั้งการปฏิรูปการศึกษาซึ่งเป็นเรื่องใหญ่มาก มิใช่ว่ามีกฎหมายปฏิรูปแล้วจะสามารถฟันฝ่าไปได้ จะต้องจริงใจ จริงจัง และเก่งทางกลยุทธ์เชิงรุก เพื่อแก้ปัญหาของกระทรวงที่มีมาช้านานให้ได้ โดยเฉพาะองค์กรภายใต้กระทรวง เช่น สกสค. และองค์การค้าของ สกสค. กับ คุรุสภา ต้องทำงานสัมพันธ์กันเพื่อหาทางพัฒนาครูให้ได้ เอาแต่ข้าราชการเกษียณมานั่งทำเหมือนตาบอดคลำช้าง คงอยู่ที่เดิม องค์การค้าของ สกสค. ก็ไม่พิมพ์เอง จ้างเขาพิมพ์อย่างเดียว ศักยภาพหมดไปพร้อมกับการจะขายที่ดินที่ลาดพร้าวอีกด้วย แล้วจะเอาอะไรไปแข่งกับเอกชน หวังว่าคงจะให้รัฐมนตรีที่เก่งและกล้าที่จะตัดสินใจเร็ว ให้เห็นสัก 2-3 เรื่อง ก่อนหมดวาระก็ยังพออุ่นใจได้บ้างว่าพอมีอนาคตกับการศึกษากับเขาบ้าง ไม่น่าจะปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรมอยู่เลยครับ