“เรื่องการเมือง ก็ขอให้เป็นเรื่องทางการเมืองไปเถอะ วันนี้ก็มีโอกาสได้พูดคุยกับหัวหน้าพรรคทั้งสองพรรค คือพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคภูมิใจไทย ซึ่งมีเรื่องอื่นๆ ทั้งการทำงานและเรื่องต่างๆและได้ขอความร่วมมือทำให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้าต่อไปให้ได้ ก็ไม่มีปัญหาอะไร เรื่องการเมืองเขาก็พูดคุยกันแล้ว ไม่มีปัญหาอะไรทั้ง ทุกอย่างอยู่ที่นายกฯ ” บางส่วนบางตอนจากคำตอบของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงความคืบหน้าในการปรับครม.ที่ยังไม่มีความชัดเจน นอกเสียจากฝุ่นควันที่ตลบอบอวล จากการวิ่งเต้น เคลื่อนไหวช่วงชิง “เก้าอี้รัฐมนตรี” ที่ว่างลง ด้วยกันถึง 3 ตำแหน่ง การตัดสินคดีกปปส.โดยศาลอาญา เพิ่งผ่านมาได้เพียงไม่กี่วัน แต่กลายเป็นว่าบรรยากาศทางการเมืองกลับเต็มไปด้วยความวุ่นวาย กลุ่มก๊วนในแต่ละพรรค ไม่มีใครยอมอยู่นิ่งเฉย ต่างพากัน “ลุ้น” ไม่มีลดละ ว่าตัวเองจะมีสิทธิ์ “เข้าวิน” พาสชั้นได้เข้าไปนั่งในเก้าอี้รัฐมนตรีหรือไม่ เพราะทำไปทำมา กลายเป็นว่า การปรับครม. จาก “ประยุทธ์2/3” ไปสู่ “ประยุทธ์2/4” จะต้องถึงขั้น “ปรับใหญ่” เสียแล้ว ไม่ใช่แค่เพียงหาคนเข้าไปแทนที่ “รมว.ศึกษาฯ-รมว.ดีอีเอส” แค่2ที่นั่งเท่านั้น ! ยังไม่นับรวมไปถึงความวุ่นวายจากพรรคร่วมรัฐบาลอย่าง “ประชาธิปัตย์” ที่ต้องหาคนเข้ามาแทน “ถาวร เสนเนียม” ที่ต้องพ้นจากเก้าอี้รมช.คมนาคม ในทันทีเมื่อศาลมีคำพิพากษาให้มีความผิดในฐานะอดีตแกนนำกปปส. ที่เคยเคลื่อนไหวชุมนุมเมื่อปี 2556-2557 สำหรับพรรคประชาธิปัตย์แล้วดูเหมือนว่า ถาวรในฐานะเจ้าของเก้าอี้ตัวเดิม ต้องการผลักดัน “เจือ ราชสีห์” เลขานุการรัฐมนตรี แต่ยังต้องไม่ลืมว่าในพรรคประชาธิปัตย์ยังมีส.ส.สายใต้ อีกหลายคนที่ไม่ได้ขึ้นตรงต่อกัน ต่างเฝ้ามองการตัดสินใจของหัวหน้าพรรคที่ชื่อ “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์” รองนายกฯและรมว.พาณิชย์ ด้วยว่าจะตัดสินใจอย่างไร ไม่ว่าความวุ่นวายจากพรรคประชาธิปัตย์ หรือพรรคพลังประชารัฐ จะขยับเพื่อหวัง “เขย่า” ไปยังพล.อ.ประยุทธ์ มากแค่ไหนก็ตาม แต่เมื่อล่าสุดเจ้าตัวได้ส่งสัญญาณแรงชัดออกมาแล้วว่า “ทุกอย่างอยู่ที่นายกฯ” นั่นหมายความว่า แรงกดดันหรือความเคลื่อนไหว ไปจนถึงความพยายามที่จะ “ผนึกกำลัง” ระหว่างแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อขยายเกมไปสู่ “การแลกกระทรวง” กันเอง ก็ตาม ย่อมไม่ใช่ “เงื่อนไข” ที่บีบให้พล.อ.ประยุทธ์ ต้องยอม “เดินตามเกม” หรือ “ข้อตกลง” ตามที่มีการเรียกร้อง เพราะไม่เช่นนั้น แรงกดดันจากสังคมและความคาดหวัง จะพุ่งกลับมากระแทกที่บิ๊กตู่ เพียงลำพัง ! เช่นเดียวกันกับการรับมือกับกลุ่มผู้ชุมนุม ที่จากนี้ไปเจ้าหน้าที่ตำรวจมีแนวโน้มว่าจะใช้วิธีดำเนินการเต็มรูปแบบ โดยมีเหตุการณ์เมื่อคืนวันที่ 28 ก.พ.เป็นตัวอย่างที่ทำให้มองเห็นภาพชัดเจนมากขึ้น ทั้งรูปแบบ การรับมือที่มีการนำกระสุนยาง เข้ามาเพื่อหยุดยั้งกลุ่มผู้ชุมนุมที่มุ่งหน้า ไปยังบ้านพักของนายกฯในพื้นที่ ราบ 11 แน่นอนว่า เสียงวิพากษ์วิจารณ์ในทางที่เป็น “ลบ” จากฝั่งมวลชนผู้ชุมนุม ตลอดจนแนวร่วมย่อมเกิดขึ้นตามมา เช่นเดียวกันกับที่ มีประชาชนอีกฟากฝั่งหนึ่งเห็นใจการทำงานและการสูญเสียของฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ เมื่อสถานการณ์กำลังส่อเค้าลางว่าการชุมนุมจะมีขึ้นเป็นระยะๆและเพิ่มความรุนแรงให้มากขึ้น เช่นนี้ การเร่งกระชับพื้นที่ “นอกสภาฯ” ด้วยยาแรงที่เพิ่มดีกรีมากขึ้น ภายใต้กฎหมาย และขั้นตอนตามหลักปฏิบัติ จะเข้ามาแทนที่ความอลุ่มอล่วย การประนีประนอมเหมือนที่เคยมีมา ไปโดยปริยาย !