ยิ่งออกแรง “กดดัน” คนที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มากเท่าใด ยิ่งทำให้หลายคนอยากเห็นหน้าค่าตาของ รัฐมนตรีในรัฐบาล “ประยุทธ์2/4” มากเท่านั้น ว่าที่สุดแล้ว “บิ๊กตู่” จะรับมือกับ “ศึกใน-ศึกนอก” ครั้งนี้ออกมารูปไหน !?
การปรับครม.รอบนี้ มีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง เมื่อมองย้อนกลับไป คราวที่พล.อ.ประยุทธ์ ใช้เวลาอยู่พักใหญ่กับการเฟ้นหา “มือเศรษฐกิจ” เข้ามานั่งในเก้าอี้กระทรวงเศรษฐกิจ จนได้ สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ มาเป็นรองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน มี ปรีดี ดาวฉาย เป็น รมว.คลัง ในครม. “ประยุทธ์2/2” จากนั้นพล.อ.ประยุทธ์ ได้นำครม.ชุดใหม่ เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณ เมื่อวันที่ 12 ส.ค.63 ที่ผ่านมา
แน่นอนว่าการตัดสินใจเลือกเฟ้น “มือเศรษฐกิจ” เข้ามาทำงาน และขับเคลื่อนนโยบายด้านเศรษฐกิจ ให้กับรัฐบาลในครั้งนั้น พล.อ.ประยุทธ์ เองต้องเผชิญกับแรงกดดันไม่น้อย เพราะผู้คนฝากความหวังเอาไว้ไม่น้อย และที่สำคัญ “มือเศรษฐกิจ” ที่จะเข้ามาต้องไม่มีเสียง “ยี้” เป็นที่ยอมรับ
ในครั้งนั้นพล.อ.ประยุทธ์ แสดงออกอย่างชัดเจนว่าจะเป็นคนเลือก มือทำงานเข้ามาดูแลกระทรวงด้านเศรษฐกิจด้วยตัวเอง หมายความว่า เก้าอี้รัฐมนตรีที่ว่างลง จึงถูกล็อคเอาไว้ให้เป็นโควตาของนายกฯ ดังนั้น “นักวิ่ง” ภายในพรรคพลังประชารัฐ จึงต้อง “เบรกกันตัวโก่ง” !
แม้ต่อมาปรีดี ดาวฉาย จะยื่นใบลาออกจากตำแหน่งภายหลังจากนั่งในเก้าอี้ ขุนคลังได้เพียง26วัน แต่ไม่นาน พล.อ.ประยุทธ์ ได้เลือก “อาคม เติมพิทยาไพสิฐ” อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในปี2558 และได้รับการโปรดเกล้าฯ เมื่อวันที่ 5 ต.ค.63ในครม. “ประยุทธ์2/3”
แต่มารอบนี้การตัดสินใจปรับครม. ของพล.อ.ประยุทธ์ กำลังถูกกดดันและมี “เงื่อนไข” ทางการเมืองเป็นเรื่องหลัก อีกทั้งยังเป็นเหมือน “ทางสองแพร่ง” ที่ทำให้พล.อ.ประยุทธ์ และ บิ๊กป้อม ต้องมองเกมชนิดที่เรียกว่า “ข้ามช็อต”
เมื่อเก้าอี้รัฐมนตรีว่างลง 2ที่นั่งคือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการและรัฐมนตรีว่าการกระทรวง ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) แต่กลับกลายเป็นว่าภายในพรรคพลังประชารัฐเปิดเกมต่อรองกันอย่างดุเดือด กลุ่มการเมืองที่มีอยู่ไม่น้อย ส่งสัญญาณทั้งทางตรงและทางอ้อมว่าต้องการเก้าอี้รัฐมนตรีเช่นกัน ขณะที่ “กลุ่ม3ช.” คือรัฐมนตรีช่วย 3กระทรวงก็ต้องการขยับขึ้นมานั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการฯ ส.ส.กลุ่มใต้ที่มีอยู่ 13เสียง ก็หวังว่าจะได้ “รางวัล” ตอบแทนหลังจากที่ผิดหวังจากรอบที่แล้ว ล่าสุดกลุ่มสามมิตร เริ่มขยับเปิดโผส่งชื่อ ผ่านหน้าสื่อ แต่ที่ดุเดือดไปกว่านั้นคือการที่ส.ส.ในพลังประชารัฐ พากันออกแรงกดดัน นายกฯประยุทธ์ ด้วยการล่ารายชื่อแล้วมอบอำนาจให้บิ๊กป้อม เป็นคนตัดสินใจว่าจะเลือกใครเข้าไปนั่งเป็นรัฐมนตรี
แน่นอนว่าลึกๆแล้ว นักการเมืองในพลังประชารัฐ หวั่นไหวมากที่สุดคือการตัดสินใจชนิดเบ็ดเสร็จของพล.อ.ประยุทธ์ ที่จะดึง “คนนอก”เข้ามาเป็นรัฐมนตรี เพื่อ “สยบ” แรงกดดันภายในพรรค ไปพร้อมๆกับการจงใจปรับลุคส์ ปรับโฉมให้หน้าตาครม. “ประยุทธ์2/4” เรียกความเชื่อมั่นให้มากที่สุด ก่อนเข้าช่วงโค้งสำคัญก่อนถึงการเลือกตั้ง รอบหน้ามาถึง
และที่สำคัญไปกว่านั้นคือการพิสูจน์ว่า ที่สุดแล้วสิทธิ์ขาด ในการตัดสินใจปรับครม.จะต้องอยู่เหนือ แรงกดดันและความต้องการจาก “ฝ่ายการเมือง” !