สมบัติ ภู่กาญจน์ คุณชำนาญ จันทร์เรือง เขียนบทความชื่อเรื่องว่า ‘การเมืองเรื่องของอำนาจ’ ลงในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุธที่ 2 สิงหาคม 2560 โดยมีเนื้อหาวิเคราะห์คำว่าการเมือง ซึ่งเกี่ยวข้องอย่างยิ่งกับเรื่องของอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นการเมืองแบบไหนของประเทศใด ซึ่งในท้ายของบทความดังกล่าว คุณชำนาญได้ปิดท้ายว่า ประวัติศาสตร์การเมืองของโลก ได้ให้บทเรียนไว้แล้วมากมายว่า การเสพติดอำนาจ หรือการใช้อำนาจที่ไม่สมดุล เกินกว่าที่ผู้อยู่ใต้อำนาจจะรับได้นั้น ทำให้ผู้ปกครองพบกับความวิบัติมานักต่อนักแล้ว ถ้าไม่รู้ประวัติศาสตร์ก็เหมือนคนตาบอด แต่ถ้ารู้ประวัติศาสตร์ แล้วไม่นำมาเป็นบทเรียน และไม่เชื่อฟังใคร ก็เหมือนคนที่เคยตาดีและหูดี แต่กลับมาตาบอดและหูหนวกภายหลัง เพราะ “การเมือง(ไม่ว่าจะมาด้วยวิธีการใด)เป็นเรื่องของอำนาจ” และที่ล่มสลาย ก็เพราะสิ่งเสพติดที่เรียกว่า “อำนาจ” นั่นเอง ผมอ่านบทความของคุณชำนาญด้วยความประทับใจและเห็นด้วยในสิ่งที่คุณชำนาญนำเสนอ ขณะเดียวกันก็โดนใจในข้อความสองย่อหน้าปิดท้ายเรื่องของคุณชำนาญมาก จนต้องขออนุญาตต่อผู้เขียน ขอนำคำกล่าวนั้นมาเผยแพร่ไว้ในที่นี้อีกที ตัวผมเอง เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องของการเมืองและเรื่องของอำนาจ มาทั้งจากในตำราที่เรียน จากหนังสือต่างๆที่ชอบอ่าน และจากถ้อยคำความเห็นของนักการเมืองสารพัดชาติพันธุ์ที่มีอยู่ในโลก และที่สำคัญที่สุด ก็คือจากทั้ง ‘คำสอน’และ ‘การปฏิบัติ’ ของ ‘ครูการเมือง’ของผมอีกคนหนึ่ง ซึ่งมีความสามารถเป็นนักอะไรต่ออะไรได้สารพัดนัก รวมทั้ง ‘นักการเมือง’ผู้มีบทบาทสำคัญคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของการเมืองไทย ครูผู้ยิ่งใหญ่ของผมท่านนั้น มีนามว่า ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ซึ่งผมเห็นว่าท่านเป็นคนไทยอีกคนหนึ่ง ซึ่งมองเห็นและเข้าใจการเมือง มากกว่าคนอื่น ที่สามารถ ‘สอน’และ ‘ทำ’ ให้ผมเห็นและเข้าใจการเมือง ได้ไม่ต่างจากที่คุณชำนาญนำเสนอ ว่า การเมืองเป็นเรื่องของอำนาจและการใช้อำนาจ –ขณะเดียวกัน การเสพติดในอำนาจคือความวิบัติ – และการไม่รู้จักประวัติศาสตร์คือคนตาบอด – และใครก็ตามที่รู้ประวัติศาสตร์แล้วไม่นำไปใช้เป็นบทเรียน ก็เหมือนคนที่ปกติเคยหูดีตาดี ที่อำนาจกำลังจะทำให้หูตาเปลี่ยนแปลงไป ผมเขียนถึงเรื่องราว-ความคิด-และการปฏิบัติ ของครูผู้ยิ่งใหญ่ของผม มาจนถึงวันนี้ ก็ด้วยเหตุผลนี้ เขียนด้วยความระลึกว่า อาจารย์คึกฤทธิ์ จบการศึกษาจากต่างประเทศกลับมาถึงเมืองไทยหลังจากที่การเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 ผ่านไปแล้ว สังคมและการเมืองการปกครองของไทยแตกต่างไปมากจากเมื่อก่อนที่เขาจะไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศ ท่ามกลางความไม่แน่ใจนักกับความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ เขาตัดสินใจเริ่มชีวิตการทำงานด้วยการรับราชการได้พักหนึ่ง สงครามโลกครั้งที่สอง ก็มาสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในบ้านเมืองไทยอีก แม้กระทั่งสงครามสงบแล้ว แต่การเมืองของประเทศไทยก็ยังคงชุลมุนวุ่นวายอยู่ทั้งเหตุการณ์ภายนอกประเทศและภายในประเทศที่ผสมปนเปเข้าด้วยกัน ก่อนหน้านี้ พระมหากษัตริย์พระองค์หนึ่งสละราชสมบัติ ต่อมาไม่นานนัก พระมหากษัตริย์พระองค์ต่อมาก็สวรรคตกระทันหันอีก คึกฤทธิ์ ปราโมชตัดสินใจหันเหชีวิตเข้าไปสัมผัสกับถนนสายการเมืองไทย ในช่วงเวลาสั้นๆ เขาสร้างชื่อเสียงให้เป็นที่รู้จักของผู้คนด้วยความสามารถเฉพาะตัวได้ในระดับหนึ่ง แต่ประสบการณ์การเมืองไทยในยุคที่หนึ่งของเขา ก็มีเวลาเพียงสามปี เขาตัดสินใจ ‘ล้างมือ’ จากอ่างการเมืองไทย ด้วยการลาออกจากทุกตำแหน่ง มาเป็นคนธรรมดาสามัญ ที่มีฐานันดร ม.ร.ว.นำหน้า แล้วก็ยึดงานเขียนแสดงความเห็นเน้นหนักทางการเมืองในระดับชาวบ้านผ่านหน้าหนังสือพิมพ์ ที่เขากับพวกร่วมกันสร้างขึ้นมา เพื่อให้ความรู้ความคิดแก่ “ผู้คนส่วนใหญ่ในประเทศไทย ที่ยังรู้จักสิ่งเหล่านี้ไม่มากนัก และ“โลกก็กำลังเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะ ขณะที่ผลกระทบก็จะตกแก่คนทุกคนในประเทศ” นั่นคือสิ่งที่เขาพยายามบอกแก่ผู้คนที่อ่านหนังสือพิมพ์ของเขา ที่เริ่มต้นสร้างขึ้นเมื่อปี 2493 กลางปี “ประชาชนควรจะต้องรู้อะไรบ้าง ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้?” “การเมือง” กับ “การใช้อำนาจทางการเมืองคืออะไร?” “ประชาธิปไตยคืออะไรและความเข้าใจในระดับชาวบ้านของคนส่วนใหญ่ในประเทศ ควรอยู่ในระดับไหน?” และ “การบริหารบ้านเมือง” ที่รัฐบาลเป็นผู้ใช้อำนาจ จำเป็นต้องยึดมั่นถือมั่น ในสิ่งใด มากน้อยเพียงใด จึงจะอยู่ในความเหมาะสม? - ประเด็นต่างๆเหล่านี้ คือหัวข้อที่อาจารย์คึกฤทธิ์พยายามบอกกับคนในสังคมไทยด้วยวิธีการผ่านงานเขียนสารพัดรูปแบบ ตั้งแต่บทความประจำวันไปจนถึงนิยายเรื่องยาวเรื่องสั้นสารพัดชนิด สลับกับงานพูดตามกาละและเทศะอันเหมาะสม ที่จะมีขึ้นมา ผมพยายามเล่าประวัติศาสตร์เหล่านี้ เพื่อให้คนในยุคปัจจุบันได้ ‘มองเห็น’ ว่า ในอดีตที่ผ่านมานั้น ประเทศไทยและสังคมไทยได้ผ่านสิ่งใดมาบ้าง ด้วยความเชื่อที่ตรงกับข้อเขียนของคุณชำนาญ(ที่อ้างถึงข้างต้น)ว่า “ถ้าไม่รู้ประวัติศาสตร์ก็เหมือนคนตาบอด” และพร้อมกันนั้น ผมก็ได้แสดงวิธีการคิด วิธีการทำของอาจารย์คึกฤทธิ์ ในอดีต ให้ผู้คนที่ส่วนใหญ่เกิดมาไม่ทันยุคของท่านผู้นี้ ได้เห็นว่า ในสมัยที่ท่านทั้งหลายยังไม่เติบใหญ่เช่นทุกวันนี้ คนไทยในอดีตที่เขาหวังดีต่อผู้คนและชาติบ้านเมืองไทยจริงๆ เขาเคยทำ ‘อะไร’ ให้ไว้กับชาติบ้านเมืองกันอย่างไร? ดังเช่นในข้อเขียนของผมตอนที่แล้ว สองปีก่อนที่จะเกิด ‘เหตุการณ์ทางการเมือง 14 ตุลาฯ’ (ที่นักวิชาการหลายคนยอมรับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงฯยิ่งใหญ่รองจากเหตุการณ์ 2475) นั้น อาจารย์คึกฤทธิ์ได้ ‘พูดดังๆ’ไว้ในการสัมมนาทางวิชาการว่า เมืองไทยยังไม่มีอะไรบ้างและมีอะไรบ้าง? และในท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ ใครควรทำอย่างไร และผู้ใช้อำนาจในการบริหารประเทศ ซึ่งนำโดยทหารสามยุคสามจอมพล เป็นเวลานานเกิน๑๐ปี มาจนถึงขณะนั้น ควรจะต้องทำหรือไม่พึงทำในสิ่งใดแค่ไหน? ผมอยากเล่า ความรู้ทางประวัติศาสตร์เหล่านี้ เอาไว้ให้ ‘เรา’ ทุกคน ได้รับรู้ ก่อนที่จะพิจารณาเป็นบทเรียน ว่า เราควรจะทำหรือไม่ทำในสิ่งใด เราควรจะฟังหรือไม่ฟังใครแค่ไหน เพื่อรักษา ‘ประสาทหูและสายตา’ของเราไว้ให้ดีกันต่อไป ในอดีต ความเกลียดชัง(ในเรื่องของลัทธิคอมมิวนิสม์กับความไม่นิยมคอมมิวนิสม์)คือชนวนขัดแย้งที่ทำให้คนในสังคมเดียวกันฆ่ากันเองได้ในท้องถนน ทุกวันนี้ความเกลียดชังเหล่านั้นยังมีอยู่ หรือว่าเปลี่ยนแปลงไปแล้ว หรือว่าถูกแปรเปลี่ยนไปให้คงอยู่ในอีกรูปแบบหนึ่ง - เราเคยคิดที่จะลดราความเกลียดชังเช่นนั้นกันบ้างหรือไม่? เหตุการณ์และตัวอย่างทั้งหลายทั้งปวงนี้ สามารถนำไปใช้เป็นบทเรียนได้แน่นอน ถ้าเราสามารถจะ ‘หาให้พบ’ และ ‘ฉลาดให้พอ’ที่จะรู้จักใช้ความคิด และมีวิจารณญานในการพิจารณา ‘ความคิด’และ ‘การกระทำ’ทั้งหลายของอาจารย์คึกฤทธิ์ แค่ช่วงปี 2514 นี้ยังเป็นเพียงแค่ การเริ่มต้นของประวัติศาสตร์การเมืองไทยยุคหลัง 2475 ที่ยังมีเหตุการณ์ที่รุนแรงวุ่นวายและสยดสยองตามมาอีกหลายบท เราจะเดินไปข้างหน้า โดยก้าวข้ามให้พ้นเหตุเหล่านี้ หรือว่าจะกลับไปเริ่มต้นเหมือนเดิมกันอีก? คำถามนี้คือสิ่งที่ผมคิดอยู่ ขณะที่ตัดสินใจจะนำเสนอประวัติศาสตร์เหล่านี้ต่อไปอีกเรื่อยๆครับ