สมบัติ ภู่กาญจน์ ในปาฐกถาของม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่ได้พูดไว้เมื่อปี พ.ศ.2514 ได้ชี้ให้เห็นสภาพการณ์ของบ้านเมืองไทยในขณะนั้น แล้วก็ตั้งคำถาม ว่า เมื่อสิ่งที่เราเห็นนั้นเป็นอยู่เช่นนี้ แล้วเราควรจะทำอย่างไรกันต่อไป? สาระที่จะนำเสนอในวันนี้ จะเป็นความเห็นต่อมาของผู้พูด ********** ********** เมื่อปัญหามันเป็นอยู่เช่นนี้ เราก็ควรจะต้องพิจารณากัน ว่า หนึ่ง สภาพเช่นนี้ เราจะถือว่ามันเป็นปัญหาการเมืองหรือไม่? ถ้าเป็น เราควรจะแก้ปัญหาอย่างไรกันต่อไปอีก จึงจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด สำหรับคนทุกฝ่ายที่อยู่ร่วมกันในสังคมไทย สอง พิจารณาว่า ถ้าการที่ทหารจะเป็นกลุ่มที่ถืออำนาจแต่ฝ่ายเดียวอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ มันเป็นสภาพที่ดีอยู่แล้ว เหมาะสมกับสังคมไทยอยู่แล้ว เพราะมันทำให้คนทั่วไปสุขสบายไม่วุ่นวายเดือดร้อน แล้วเราจะต้องการอะไรอีก ประเด็นนี้ก็ควรต้องพิจารณา เราไม่ควรจะยึดมั่นถือมั่น แต่เพียงในประเด็นใดประเด็นหนึ่ง จริงอยู่ ขณะนี้มีเสียงตำหนิเรื่องการใช้อำนาจการปกครองด้วยคนกลุ่มเดียวฝ่ายเดียว ว่าไม่ใช่วิธีการแบบประชาธิปไตยซึ่งเป็นที่ยอมรับของคนส่วนใหญ่ในโลก เสียงเหล่านี้มีอยู่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านกลุ่มปัญญาชนที่นิยมแสดงความเห็นผ่านทางนิสิตนักศึกษา ทุกเสียงของกลุ่มที่เห็นเช่นนี้ต้องการที่จะให้อำนาจการปกครองจริงๆนั้นเป็นของประชาชน สำนวนลีลาการพูดอย่างนี้ ไม่ว่าจะไปพูดในที่ใดๆ ก็ย่อมจะได้รับเสียงปรบมือต้อนรับอย่างกึกก้อง พร้อมเสียงสรรเสริญจากผู้ฟังส่วนใหญ่แต่ผมอยากถามว่า แล้วจะมีใครคิดบ้างหรือเปล่าว่า ‘ประชาชน’ในประโยคที่เขาพูดนั้น หมายความถึงใคร? จะเป็นประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศจริงๆ หรือว่าประชาชนที่เห็นด้วยกับเขา หรือว่าประชาชนที่มีจำนวนปรากฏอยู่ในผลของการเลือกตั้งเท่านั้น ก็ต้องคิดกันต่อไปอีก เพราะผลของการเลือกตั้ง ที่ปรากฏให้เราเห็นอยู่ทุกวันนี้ ( หมายเหตุ: มีการเลือกตั้งครั้งล่าสุดก่อนหน้าที่จะมีการสัมมนาทางวิชาการครั้งนี้ และผลการเลือกตั้ง ผู้แทนราษฎรส่วนใหญ่ที่ได้รับเลือก ล้วนเป็นฝ่ายที่สนับสนุนรัฐบาลที่จัดการเลือกตั้งทั้งหมด) ผมอยากเรียนถามว่า เป็นที่พอใจของที่ประชุมนี้แล้วหรือ? ผมอยากให้พิจารณา ผมเองยอมรับอย่างเปิดเผย ว่าไม่พอใจ ด้วยเหตุนี้ ผมจึงไม่อาจยอมรับคำว่าประชาชน ที่หลายคนชอบอ้างถึง ได้สนิทใจนัก ว่าประชาชนที่ท่านหมายถึงนั้น จริงๆแล้วคือประชาชนที่ไหน และถ้าเกิดมีคนที่ไม่เห็นด้วยกับท่าน คนเหล่านั้นยังเป็นประชาชนอยู่หรือเปล่า? การพูดตำหนิติเตียนในเรื่องเหล่านี้ ผมจึงอยากให้ท่านทั้งหลายได้คำนึงถึงให้มากๆ อยากให้มองความหมายของประเทศชาติ ในมุมมองที่กว้างขวางและครอบคลุมให้มากขึ้น แทนที่จะยึดถือแต่เพียงหลัก หรือทฤษฎี ที่ได้ร่ำเรียนมา ขอให้นึกถึงกลุ่มคน หรือกลุ่มผลประโยชน์ ที่จะมาทำหน้าที่เป็นรัฐบาลนำชาติบ้านเมืองให้ก้าวหน้าต่อไป ว่าจะเป็นใคร จะมีคนที่วิสัยทรรศน์กว้างไกล มีความคิด มีความเข้าใจ มีความสามารถ ( มีข้อสังเกตุว่า: ยุคนั้นคำว่าไม่คอรัปชั่น หรือซื่อสัตย์สุจริต ยังไม่ใช่วลีฮิตของการเมืองการปกครองไทยเหมือนในยุคหลัง) และเข้าใจกับโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงนี้มานำรัฐบาลด้วย หรือเปล่า ใครบ้างที่จะมีคุณสมบัติเหล่านี้มากพอ และประชาชนส่วนใหญ่จะเข้าใจในสิ่งเหล่านี้มากน้อยแค่ไหน เรื่องเหล่านี้คือสิ่งที่น่าพิจารณา ในเนื้อความตอนต่อมา ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ได้พูดถึงบทบาทของพรรคการเมืองฝ่ายค้านในขณะนั้น ว่ายังทำหน้าที่ได้ไม่เป็นที่น่าพอใจของผู้พูดนัก และอยากฟังทรรศนะของผู้อภิปรายท่านอื่นให้ช่วยกันมองด้วย จากนั้นก็วิจารณ์รัฐบาลว่าพยายามเอาใจนักการเมืองที่เป็นฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลจนเกินความเหมาะสมในหลายเรื่อง ซึ่งเป็นรายละเอียดในเหตุการณ์ที่พ้นสมัยไปแล้ว ผมจึงขอนุญาตตัดออก ก่อนที่จะมาถึงท่อนสุดท้าย คือบทสรุป ที่ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ กล่าวว่า อนาคตนั้นเป็นเรื่องที่ทำนายยาก เพราะมีทั้งอนาคตที่ใกล้และที่ไกล ผมเองไม่ใช่นักทำนายอนาคต จะพอมองเห็นได้ก็เพียงสภาพการณ์ในปัจจุบัน ก็อย่างที่พูดมาแล้วทั้งหมด ต่อไปนี้ก็อยากฟังความเห็นของท่านผู้อื่นด้วย ว่าท่านจะมีความเห็นที่น่าสนใจอื่นๆอีกมากน้อยแค่ไหน ซึ่งอาจจะรวมกันมองเห็นอนาคตได้ชัดขึ้นกว่าที่ผมพูดมา อย่างไรก็ตาม ขอกล่าวเป็นสิ่งสุดท้ายว่า สังคมไทยเรานั้นมี ‘สถาบันต่างๆ และมีสิ่งต่างๆ’ที่เป็นเครื่องผูกมัดให้คนได้อยู่ร่วมกัน ด้วยความสามัคคีและความรักอันแน่นแฟ้นมากกว่าสังคมอื่นๆในโลก ทั้งในภูมิภาคนี้และภูมิภาคอื่น เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์อันผันผวนหรือปั่นป่วนอย่างไร ผมยังมีความมั่นใจว่า สังคมไทยเราจะไม่ระส่ำระสายเหมือนกับสังคมอื่นหรือบ้านเมืองอื่น ที่เขาอยู่รอบตัวเราและเราได้มองเห็นอยู่ในขณะนี้ พูดมาก็ครบเวลาที่กำหนดพอดี จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้ครับ ********** ********** ความเห็นในอดีตจบลงแค่นี้ ก่อนที่เราจะพูดหรือคิดอะไรกันต่อ ผมขอใช้พื้นที่ที่เหลือ ย้ำมิติเรื่อง ‘เวลา’ ว่า ณ ขณะที่พูด คือ พ.ศ.2514 รอบบ้านเมืองไทยในยุคนั้น ทุกประเทศล้วนมีแต่ปัญหาวุ่นวายอยู่ในแต่ละประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสงครามเวียดนามที่เริ่มทวีความร้อนระอุ ซึ่งตรงข้ามกับวันนี้ คือ พ.ศ.2560 โดยสิ้นเชิง ตรงที่ทุกประเทศรอบบ้านของเราพร้อมพัฒนาประเทศเข้าสู่โลกยุคใหม่ด้วยกันทั้งหมด ยกเว้น......... ข้อความที่จุดๆๆไว้ ผมไม่อยากระบุ แต่อยากให้เราคนไทยช่วยกันคิดบวก ว่า ช่วยกันหาเครื่องผูกมัดนั้นให้พบกันเถิดครับ ‘สถาบันและสิ่งต่างๆ’ของเรายังมีอยู่ ไม่หายไปไหน เพียงแต่อาจจะต้องใช้ ‘ปัญญา และความอดทน’ให้มากขึ้นเท่านั้น เพราะคนไทยที่จะช่วยให้สติปัญญาแก่ผู้คนทุกวันนี้หาได้ยากขึ้นแล้ว รับรองว่าในกูเกิ้ล ไม่มีแน่นอนครับ