“...คนไทยส่วนใหญ่รวมทั้งนักการเมืองทั่วไปก็คงจะนึกถึง “การเมือง” เฉพาะในแง่ช่วงชิงอำนาจ ทำให้การเมืองในเมืองไทยมีแต่การปรักปรำให้ร้ายกัน
ทำให้การเมืองในเมืองไทย มีแต่ความระแวงกันทำให้การเมืองในเมืองไทยมีแต่เล่ห์เหลี่ยม ขาดความร่วมมือในกรณีที่ควรร่วมมือ ขาดความไว้ใจซึ่งกันและกัน ดีแต่ชิงไหวชิงพริบกันเพื่อหาเสียงหาคะแนนนิยม ลืมหน้าที่ ลืมความรับผิดชอบ ลืมประโยชน์ของประชาชน
และที่สำคัญที่สุดก็คือทำให้คนดีเหนื่อยหน่ายในการเมืองและพากันรามือจากการเมืองคิดแต่จะดีดตนให้ห่างจากการเองไม่ยอมแตะต้องหรือเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
“การเมือง” เมืองไทยจึงกลายเป็นเรื่องร้อน เกี่ยวข้องเข้าที่ไหนก็เกิดความไม่สบายใจขึ้นที่นั่น ทั้งนี้ก็เห็นจะเป็นเพราะเราเล่นการเมืองอยู่แง่เดียว คือแง่หาเสียงและการช่วงชิงอำนาจ จนในที่สุดก็เกิดความระแวงขึ้นทั่วไป นักการเมืองคนใดทำความดีด้วยความบริสุทธิ์ใจก็จะไม่มีใครเชื่อจะมีคนคอยตราหน้าว่าทำดีเพื่อหาเสียง ทำดีเพื่อหวังอำนาจและประโยชน์ส่วนตนเป็นเครื่องตอบแทนในที่สุด
ใครอยากทำดีโดยไม่อยากให้คนชี้หน้าด่าเอาได้ว่าหาเสียง ก็จ้องเลี่ยงการเมืองไม่เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย คนดีที่มีใจบริสุทธิ์จริง ๆ ก็เริ่มหายไปจากวงการเมือง
แม้แต่ข้าราชการคนใดที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริตเพื่อประโยชน์ของราษฎรก็จะมีผู้ระแวงว่าหาเสียง คิดเป็นใหญ่เป็นโตทางการเมือง ราษฎรเดือดร้อนอย่างไร แล้วแสดงความเดือดร้อนนั้นให้ปรากฏ หรือแม้แต่แสดงความต้องการของตนให้ปรากฏ ก็จะต้องมีผู้ระแวงไว้ก่อนว่ามีนักการเมืออีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ไปปลุกปั่นยุยง
ถ้ายังไม่หมดความระแวงนั้นก็ไม่คิดช่วยเหลือให้หายเดือดร้อน หรือปฏิบัติตามความต้องการนั้น
แล้วราษฎรก็ต้องเดือดร้อนต่อไป หรือมีความต้องการต่อโดยไม่มีใครนำพาจนในที่สุด ถ้าหากนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามเข้าไปรับผิดชอบในความเป็นอยู่และความผาสุกของราษฎร แล้วไม่สามารถแก้ไขปัญหาราษฎรมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและมีความผาสุกได้ อีกฝ่ายขยับปีกดีใจ ปล่อยให้ราษฎรเดือดร้อนต่อไป ไม่คิดที่จะเข้ามาร่วมมือช่วยเหลือ เพราะเราเห็นว่า “การเมือง” เป็นแต่การช่วงชิงอำนาจระหว่างนักการเมืองแต่ฝ่ายเดียว
ความนิยมและความสนใจในการเมืองจึงเสื่อมลงไปจนถึงขั้นที่ว่า มีการเมืองที่ไหนก็มีความไม่สบายที่นั่น ในระบอบประชาธิปไตยนั้น การเมืองเป็นของจำเป็น การกระทำความดีให้เกิดประโยชน์จริงจังต่อประชาชนจะต้องเป็นการกระทำทางการเมือง ไม่มีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้
แต่เมื่อเข้าใจความหมายของการเมืองกันเฉพาะในวงอันแคบ และในลักษณะที่เป็นส่วนเสียของการเมืองเสียแล้ว การเมืองก็เห็นจะไปไม่รอดใครอยากทำดีก็จะต้องทำโดยไม่เกี่ยวกับการเมือง” ( คึกฤทธิ์ ปราโมช “สยามรัฐ หน้า 5” ฉบับวันที่ 4 มิถุนายน 2512) การเมืองไทยเมื่อสี่สิบแปดปีท่แล้วเป็นอย่างไร ปัจจุบันก็ยังเป็นอยู่อย่างนั้น น่าเศร้าจริง ๆ