ดร.วิชัย พยัคฆโส [email protected] สัปดาห์ที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีได้เดินทางไปประชุม ครม.นอกสถานที่ โดยแวะดูการบริหารจัดการโควิด-19 ที่สุราษฎร์ธานี และเกาะสมุยได้พบความเงียบเหงาถึงกับเศร้าใจกับธุรกิจการท่องเที่ยวและจะหาวิธีการให้คึกคักมากยิ่งขึ้นและได้ต่อไปประชุม ครม. ที่ภูเก็ต เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เป็นการประชุมเพื่อพัฒนา 6 จังหวัดภาคใต้ โดยมียุทธศาสตร์ที่ภาคเอกชนเสนอ เช่น จัดตั้ง Rubber City ในขณะที่ราคายางพุ่งสูงขึ้น 70 กว่าบาท เงื่อนไขบางประการที่เป็นเงื่อนไขหลักให้น้อยลง พร้อมกับการดูแลการท่องเที่ยวที่เงียบเหงา ซบเซา ประกันราคายางและข้าวเพิ่มเติม เปิดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามามากขึ้น ให้คนไทยข้ามภาคมาเที่ยวกันเอง จ.สตูลเสนอโครงการสร้างถนนเพิ่ม และการเสนอให้มีสนามบินเพิ่มขึ้น รวมทั้งการขยายสนามบินที่ จ.พังงาแต่ ครม.อนุมัติลดราคาน้ำมันเครื่องบินลงเหลือลิตรละ 20 ส.ต. และการบริหารชายฝั่งทะเลเป็นเงิน 2 พันกว่าล้านบาท เรื่องอื่นนายกรัฐมนตรีรับไว้พิจารณาในโอกาสต่อไป และมีความหวังว่าจะสามารถพัฒนาได้มากกว่านั้นเพิ่มเติมจากการสำรวจของรัฐมนตรีต่างๆ ดังเช่น การขยายท่าเรือ เป็นต้น หากสามารถทำได้ตามข้อเสนอของจังหวัดคงช่วยลดความกดดันและลดความเงียบเหงาของนักท่องเที่ยวลงไปได้บ้าง แต่นำความสนใจและดีใจของชาวภาคใต้ที่นายกฯเป็นห่วง สิ่งหนึ่งที่ยังความปลาบปลื้มมาสู่คนไทยกันถ้วนหน้าจากการที่ในหลวง ร.10 พร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้าฯ สมเด็จพระบรมราชินี และบรรดาพระบรมวงศานุวงศ์เสด็จฯ ทรงเปลี่ยนเครื่องทรงฤดูฝนเป็นฤดูหนาวที่วัดพระแก้ว ท่ามกลางประชาชนเข้าเฝ้ารับเสด็จมากมายมหาศาลนับแสนคน โดยได้ทักทายประชาชนผู้เข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิดและไม่ถือพระองค์ ยังความปลาบปลื้มและความจงรักภักดีเพิ่มยิ่งขึ้น ส่งผลให้คณะราษฎรลดราวาศอกกับการปฏิรูปสถาบันได้ระดับหนึ่ง ในขณะที่การช่วงชิงประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 46 เข้มข้น ดูเหมือนว่าโจไบเดนจะคว้าชัยแทนโดนัลด์ ทรัมป์ คงเป็นผลดีแก่ประเทศไทยเราบ้างเพราะตลาดหุ้นเริ่มพุ่งกระฉูดทุกภูมิภาค งานของรัฐบาลคือการตั้งกรรมการสมานฉันท์ ที่แว่วว่าจะมี 2 แนวทาง คงตกลงกันได้กระมังว่าจะใช้รูปแบบใดเพื่อร่วมกันพัฒนาประเทศที่เรายังมีจุดอ่อนในการปฏิรูป และพัฒนาอย่างจริงจัง ตามที่ TDRI สรุปได้ 4 ประเด็นหลักๆ ได้แก่ 1. การพัฒนาอุตสาหกรรม ประเทศไทยขาดการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมและพึ่งพาการส่งออกมากเกินไป ไม่เตรียมคนให้พร้อมด้านฝีมือแรงงานและขาดภูมิคุ้มกัน เศรษฐกิจภายนอกประเทศที่เป็นปัญหากันอยู่ขณะนี้ ซึ่งด้านฝีมือแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวง อ.ว.เร่งพัฒนาบัณฑิตพันธุ์ใหม่และอาชีวะกำลังสองอย่างรีบด่วนอยู่ในปัจจุบัน จะทันต่อการเปลี่ยนแปลงช่วงโควิด-19 หรือไม่ 2. การพัฒนาคุณภาพการศึกษา คุณภาพการศึกษาต่ำ บุคลากรไม่มีคุณภาพ เกิดความเหลื่อมล้ำทางด้านการศึกษา มีช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวยเพิ่มมากขึ้น เรื่องนี้รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการได้เร่งรัดจะพัฒนาอยู่แล้ว แต่อาจจะช้าเกินไปและไม่ได้ผลเท่าที่ควร 3. การทุจริตคอร์รัปชัน คนยอมรับการคอร์รัปชัน หากคอร์รัปชันกันได้ประโยชน์มีตัวเลขสูงขึ้นทุกปี คอร์รัปชันเชิงนโยบายขาดหลักฐานการเอาผิดได้และจะกัดกันจนประเทศล้มละลายได้ ควรต้องปรับปรุงแม้ว่าจะเป็นวาระแห่งชาติแล้ว แต่ยังมิได้ลดลงหรือหมดไป 4. วิกฤติหนี้ของประเทศ รมต.รับใช้นายทุนไม่สนใจบ้านเมือง ประชานิยมของประเทศตกหล่น ฐานะการคลังอ่อนแอ และภายใน 10 ปี น่าจะเกิดวิกฤติเงินเฟ้อรุนแรง เรื่องนี้เห็นทีรัฐบาลต้องยอมรับแม้ว่าจะประกาศว่าฐานะการเงินการคลัง ตามที่ IMF ประเมินเข้มแข็งก็ตามแต่ประเทศเรามี GDP ลดลงจาก 8% ที่คาดการณ์ไว้เหลือเพียง 7.1% เท่านั้น ทั้งหลายทั้งปวงเป็นประเด็นและปัจจัยการปฏิรูปใน 4 เรื่องใหญ่นี้อย่างเร่งด่วน หากมัวแต่ฟาดฟันกันเองทางการเมือง ประเทศชาติจะล่มจมไปเรื่อยๆแต่นายกรัฐมนตรียังมีกำลังใจที่จะสู้ และแก้ไขทุกมิติให้ดีขึ้นทั้ง 4 ประเด็นหลักตามที่ TDRI เสนออยู่แล้ว แต่ยังไม่ทันใจอยู่ดี