ธรรมชาติของเศรษฐกิจระบอบทุนนิยมข้อหนึ่งคือ ทุนนิยมจะคงอยู่และพัฒนาเติบโตได้นั้น เศรษฐกิจจะต้องขยายเติบโตตลอดเวลา หากตัวเลขเศรษฐกิจเติบโตต่ำกว่าปีก่อน ๆ เศรษฐกิจสังคมก็จะเกิดปัญหา แล้วกระทบไปถึงด้านอื่น ๆ ดังนั้นสังคมทุนนิยมจึงต้องกระตุ้นการบริโภคให้ขยายเพิ่มมากขึ้นตลอดเวลา เพราะเมื่อการบริโภคลดลง ตัวเลขการเติบโตทางเศรซฐกิจก็จะลดลงด้วย การบริโภคนั้นมีสองส่วน คือการบริโภคในตลาดต่างประเทศ กับการบริโภคของตลาดภายในประเทศ เศรษฐกิจไทยนั้น ขยายตัวมากในอดีต ด้วยการพึ่งพาการบริโภคของตลาดต่างประเทศ ในด้านอุตสาหกรรม ไทยรับจ้างทำของ ส่งไปขายต่างประเทศ สร้างตัวเลข GDP ได้ดี แต่สังคมไทยมีรายได้จริงเพียงแค่ “ค่าจ้างทำของ” เท่านั้น ตัวเลขรายได้เศรษฐกิจของประเทศดี แต่รายได้ของพลเมืองส่วนใหญ่มิได้ “ดี” ไปตามอัตราส่วนนั่นทำให้ตลาดภายในประเทศขยายตัวยกระดับได้ไม่มาก คือคนไทยไม่มาราได้พอจะบริโภคสินค้าคุณภาพดีที่ลิตเพื่อขายต่างประเทศ ดังนั้นเมื่อเศรษฐกิจโลกไม่ดี ตลาดต่างประเทศลดการริโภค ประเทศไทยส่งสินค้าออกได้น้อยลง ตัวเลขเศรษฐกิจไทยจึงไม่ดีตามไปด้วยโลกสากลกำลังวุ่นวายทั้งด้านการเมืองและเศรษฐกิจ กรอบความคิดและกฏกติกาเศรษฐกิจที่โลกกำหนดไว้เดิมเมื่อเริ่มยุคโลกาภิวัตน์ กำลังสั่นคลอน เนื่องจากความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในสหัฐอเมริกา ขณะนี้กำลังอยู่ในห้วงผันผวน ไม่แน่นอน ภาคธุรกิจส่วนใหญ่โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการค้าระหว่างประเทศซึ่งมีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบจากนโยบายการค้าที่เปลี่ยนไปของสหรัฐฯ จะมีการชะลอการขยายกำลังการผลิตออกไปจนกว่าทิศทางของนโยบายจะชัดเจน “ทุน” จึงชลอการขยายการลงทุนเป็นธรรมดา เพราะไม่อยากเสี่ยง นี่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งโก มิใช่เกิดเฉพาะประเทศไทยแห่งเดียว นอกจากนโยบายของประเทศมหาอำนาจกำลังแปรปรวนแล้ว เทคโนโลยีก็กำลังแปรปรวนด้วย เการปกิวัติเทคโนโลยีที่รวดเร็วมาก กำลังคัดกรองอุตสาหกรรมใหม่ ๆ สิ่งเก่ากำลังล่มสลายไป สิ่งใหม่แข่งขันจะเกิดอย่างท้าทาย แต่มันกำลังอยู่ในกระบวนการคัดกรอง สิ่งใหม่หรือการลงทุนแนวใหม่ ๆ บางเรื่องเท่านั้นที่ประสบความสำเร็จ สรุปก็คือ ยังไม่มีอะไรแน่นอน แล้วใครจะกล้าลงทุน ใครจะกล้าเสี่ยง ถ้ายังไม่มั่นใจ การเมืองภายใยประเทศไทยก็ยังไม่แน่นอน รัฐบาลที่จะมาจากการเลือกตั้งครั้งหน้า จะเป็น “พวกไหน” กันแน่ ถ้าเป็นพวกที่พร้อมจะเดินตามยุทธศาสตร์เดิมที่รัฐบาลชุดปัจจุบันวางไว้ ความต่อเนื่องของนโยบายก็คงมีสืบต่อไป แต่ถ้าผลออกมาเป็นตรงกันข้าม นโยบายเศรษฐกิจของรัฐไทยจะเปลี่ยนแลงมากมายขนาดไหน ใครจะไปรู้ ?แล้วใครจะกล้าลงทุน ใครจะกล้าเสียง ถ้ายังไม่มั่นใจ ดังนั้นเฉพาะหน้านี้ยังคงต้องพึ่งพาการขยายการลงทุนของภาครัฐ เพื่อให้ตัวเลขทางเศรษฐกจขยายตัว จึงไม่แปลกใจที่จะเห็นการเร่งรัดอภิโครงการของรัฐเพิ่มขึ้น