ดร.วิชัย พยัคฆโส
[email protected]
ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา ประชาชนได้มีโอกาสต้อนรับทีมเศรษฐกิจใหม่ ตามที่นายกรัฐมนตรีแนะนำ โดยเฉพาะคุณอาคม เติมวิทยาไพสิฐ รมว.คลังคนล่าสุด ได้มุ่งมั่นที่จะใช้มาตรการ 4 เรื่อง ได้แก่ การเสริมสภาพคล่องแก่สถานประกอบการ การเน้นฟื้นฟูเศรษฐกิจภายในประเทศ การดูแลอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และการเร่งรัดการใช้จ่ายภาครัฐ
ทั้ง 4 เรื่อง แม้ว่าจะไม่มีรายละเอียดว่าต้องทำอย่างไร แต่นั่นคือเป้าหมายของ รมว.คลังที่จะมาช่วยแก้ปัญหาและฟื้นฟูเศรษฐกิจในประเทศได้ตรงจุด มั่นใจว่าคงมีมาตรการที่มีรายละเอียดออกมาเร็ววัน
มาตรการใหม่ล่าสุด คือ ช้อปดีมีคืน สำหรับผู้ที่พอจะมีเงินพอที่จะจับจ่ายและนำมาลดภาษีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทของปี 2563 น่าจะมีกระแสเงินหมุนเวียนได้ไม่น้อยกว่า 1.2 แสนล้านบาท ประมาณ 0.3% ของจีดีพี นอกเหนือจากการเพิ่มเงินให้แก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและจ่ายคนละครึ่งในวงเงิน 3,000 บาท ซึ่งจะมีเงินหมุนเวียนในเศรษฐกิจภายในประเทศประมาณ 2 แสนล้านบาท เป็นการกระตุ้นกำลังซื้อและเพิ่มเศรษฐกิจของประเทศปลายปีนี้
ในขณะเดียวกันเจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ แห่ง ซีพี ได้เสนอแนะให้รัฐบาลฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศด้วยการให้รัฐบาลออกบอนด์ในประเทศ 30 ปี วงเงิน 10 ล้านล้านบาท ดอกเบี้ย 0.5% มาปล่อยกู้ให้นักธุรกิจไทยที่ชำระหนี้มาโดยตลอด เพื่อเป็นทุนสำรองเสริมสภาพคล่องในยุคเศรษฐกิจถดถอย มั่นใจว่าคงอยู่ในใจของคุณอาคม เพื่อตัดสินใจในเรื่องนี้
พร้อมๆกันกับปลายปีนี้ วันที่ 20 ธ.ค. 63 กกต.ได้กำหนดวันเลือกตั้ง อบจ.ทั่วประเทศและจะเริ่มรับสมัครสมาชิก อบจ. ต้นเดือน พ.ย.63 จะทำให้มีเงินอย่างน้อย 3. 2 พันล้าน สะพัดเข้าสู่ชุมชนอีกระลอก ทำให้ชาว อบจ.กระพือปีกเตรียมตัวกันจ้าละหวั่น ดูเหมือนว่ามีคนมาขอตั้งพรรคใหม่ชื่อรวมไทยสร้างชาติ คล้ายคลึงกับนโนบายของรัฐบาลไว้บ้างแล้ว และความคึกคักนี้ส่งผลให้คณะก้าวหน้า ระดมที่จะส่งคนเข้าชิงนายก อบจ. พร้อมทีมงานอย่างน้อย 30 กว่าจังหวัดไว้ล่วงหน้า
ย้อนกลับมาในการพัฒนากำลังคนของประเทศในระดับอาชีวศึกษาที่เจ้ากระทรวงมีความหวังให้เกิดอาชีวะยกกำลังสอง ทีจะพัฒนาอาชีวะให้เป็นที่พึ่งของอุตสาหกรรม 7 อุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยจะจัดตั้ง Excellent Centre 50 แห่งในปี 2563 และอีก 100 แห่งในปี 2564 โดยมีความร่วมมือระหว่างวิทยาลัย 1 แห่ง กับเอกชนอีก 1 แห่ง ในแต่ละ centre โดยมุ่งหวังที่จะเป็นกำลังสนับสนุนการขนส่งในภูมิภาคอีอีซี กับอีก 3 จังหวัดภาคใต้เป็นกรณีพิเศษ ขอให้ทำกันจริงจังดังเช่นนายกรัฐมนตรี เสริมว่าควรเป็นอาชีวะยกกำลังสิบมากกว่าและให้ระบบการศึกษาเพื่อการเรียนอาชีวศึกษาเป็น 50:50:กับสายสามัญ
สำหรับ 7 สาขาที่ตลาดต้องการสูงมากในช่วงปี 63-65 ได้แก่ ปิโตรเคมี ธุรกิจดิจิทัล หุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรม เกษตรสมัยใหม่ อุตสาหกรรมการเงิน อุตสาหกรรมระบบรางและยานยนต์สมัยใหม่ที่อาชีวศึกษาพึงต้องเร่งสร้างคนไปรองรับ
การชุมนุมของ “คณะราษฎร์ 63” คงสลายตัวไปแล้ว เพราะแกนนำถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจรวบตัวไปโดย พ.ร.ก.ฉุกเฉินร้ายแรง เมื่อขาดแกนนำทำให้ขาดการนำที่มีประสิทธิภาพ เป็นอันว่ารัฐบาลสามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ ขอชื่นชม จะเป็นกำลังใจให้รัฐบาลดำเนินการพัฒนาบ้านเมืองต่อไป