เมื่อตอนเริ่มคณะ คสช. นั้น มีการปรับปรุงเรื่อง “แรงงานต่างด้าว” เน้นเกี่ยวกับแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน แรงงานต่างด้าวและนายจ้างปรับตัวอยู่ไม่นาน ปัญหาการว่าจ้างการรับจ้างก็คลี่คลาย การปรับปรุงได้คะแนนบวกแต่ 'พ.ร.ก. การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560' ฉบับใหม่ ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา แล้วเมื่อวันที่ 22 มิ.ย. 2560 ต้องยืดเวลาบังคับใช้ออกไปก่อน 120 วัน เพราะกฏหมายฉบับใหม่นี้ เนื้อหามิใช่แค่ปรับปรุงแก้ไขปัญหาบางส่วนเท่านั้น แต่ดูเหมือนเป็นระดับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ประเทศทีเดียวเสียงวิพากย์วิจารณ์กฏหมายฉบับนี้ตามสื่อมวลชน มักจะกล่าวถึงประเด็นปัญหาแรงงานรับจ้างชาวเมียนมาร์ , กัมพูชา เสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งแรงงานรับจ้างจากสองชาตินี้ ส่วนใหญ่มาทำงานขายแรงงานแบบที่สมัยก่อนเรีบกว่า “กรรมกร” แต่เดี๋ยวนี้มาเรียกว่าแรงงานไร้ฝีมือ แต่ถ้าพิจารณาองค์รวมทั้งหมดของ “การทำงานของคนต่างด้าว” จะเห็นปัญหามากกว่านั้นอีก การออก 'พ.ร.ก. การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560' ดูเหมือนจะพยายามแก้ไขปัญหาทั้งระบบ ดังที่ทางราชการให้เหตุผลมาว่า ออก พ.ร.ก. เพื่อให้ “สามารถทําการจัดระเบียบ การป้องกัน การคุ้มครอง การเยียวยา และการใช้บังคับกฎหมาย รวมทั้งการส่งเสริมความร่วมมือกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าวได้ทั้งระบบ อันจะเป็นการสร้างความมั่นคงทางด้านแรงงาน เศรษฐกิจ และสังคมของประเทศ ซึ่งเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจําเป็นรีบด่วนอันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้เพื่อประโยชน์ในการที่จะรักษาความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ จึงต้องออก พ.ร.ก.ฉบับนี้” “การทำงานของคนต่างด้าว” ในสายตาชาวบ้านนั้น มักจะเห็นแต่งานระดับกรรมกร ของชาวเมียนมาร์ ชาวกัมพูชา ไม่ค่อยเห็นปัญหาการทำงานในระดับอื่น ๆ ของชาวต่างชาติอีกมากมายหลายชาติที่เข้ามาอยู่เมืองไทย เช่น คนจีน , ญี่ปุ่น , ฝรั่ง ฯ ซึ่งถ้าพิจารณาให้ดีแล้ว ปัญหาที่แรงงานสองส่วนข้างต้นมีผลกระทบต่อสังคมไทยนั้น มันแตกต่างกัน จึงควรแยกเขียนกฏหมายให้ชัดแจ้งกว่านี้ พ.ร.ก. ใหม่ที่ว่าเพื่อ “แก้ไขปัญหาทั้งระบบ” นั้นไม่จำแนกชัดเจนระหว่างกลุ่มแรงงานสองกลุ่มข้างต้น พ.ร.ก. ใหม่นี้ เนื้อหาสำคัญกลายเป็นการสะกัดกั้นกรรมกรขายแรงงานหยาดเหงื่อที่ไร้ฝีมือ สาเหตุน่าจะมาจากกแนวคิด หวั่นกลัวเรื่องความมั่นคง หวั่นกลัวเรื่องงบประมาณสวัสดิการสังคม เช่น ค่ารักษาพยาบาล หวั่นกลัวเรื่องที่แรงงวานต่างด้าวจะตั้งรกรากถาวร และมองว่า “กรรมกรไร้ฝีมือ” มีคุณค่าน้อยต่อเศรษฐกิจไทย ฯลฯ ตัวอย่างเช่น มาตรา 8 ที่มีนัยยะจำกัดจำนวนคนต่างด้าวที่ไร้ฝีมือ ไม่ใช่ผู้ชำนาญการ " มาตรา ๘ เพื่อประโยชน์ในการจำกัดจำนวนคนต่างด้าวซึ่งมิใช่ช่างฝีมือหรือผู้ชำนาญการที่จะเข้ามาทำงานบางประเภทหรือบางลักษณะในราชอาณาจักร รัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีจะกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการจ้างคนต่างด้าวซึ่งมิใช่ช่างฝีมือหรือผู้ชำนาญการที่จะเข้ามาทำงานตามประเภทหรือลักษณะที่กำหนดในราชอาณาจักรก็ได้ เราจึงเห็นว่านี่เป็นกฏหมายที่เปลี่ยนยุทธศาสตร์ประเทศ คือในอนาคตจะต้องจำกัดจำนวนกรรมกรขายแรงงานชั้นล่าง (ไร้ฝีมือ)ชาวต่างชาติ เรื่องนี้จึงประเด็นร้อนแรง