ดร.วิชัย พยัคฆโส
[email protected]
ข่าวสะท้อนไปยังพรรคการเมืองบางพรรค หลังจากคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ ก้มกราบแทบพระบาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ในวันที่เข้าถวายรถยนต์ตรวจโรคราคาหลายล้านบาทให้สถานพยาบาลนำไปใช้ประโยชน์แก่ประชาชน
เป็นนัยสำคัญว่าขบวนการล้มเจ้านั้น คุณหญิงกับครอบครัวไม่เกี่ยวข้องด้วย ส่งผลให้พรรคเพื่อไทย โดยมีคุณหญิงหน่อยลาออกจากประธานยุทธศาสตร์พรรค พร้อมๆกับ คุณสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ลาออกจากหัวหน้าพรรค เพื่อเปิดโอกาสให้ปรับโครงสร้างของพรรคใหม่ ในวันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา จะด้วยเหตุผลอันใดไม่ทราบได้ เพราะมีการปฏิเสธกันว่า คุณหญิงพจมานจะลงมาคุมพรรคเอง
ปรากฏการณ์เช่นนี้ได้เป็นผลสะท้อนคือพรรคบางพรรคและม็อบล้มเจ้าต้องหยุดชะงัก หยุดดูว่าอะไรจะเกิดขึ้น เพราะคุณหญิงพจมานได้ แสดงความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่เห็นได้ชัดเจน
พรรคเพื่อไทยคงไม่สมหวังกับการยื่นญัตติการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 4 ฉบับ เพราะฝ่ายรัฐบาลไม่บอกกล่าวและตกลงกันก่อนว่าจะขอตั้งกรรมาธิการพิจารณา เลื่อนออกไปอีกเดือนหนึ่ง ทำให้พรรคเพื่อไทยล้มเหลวกับการบริหารจัดการพรรคในสภาหลายเรื่อง ทั้งการเลือกตั้งผู้แทนที่ว่างในหลายจังหวัด กับทั้งยอมให้พรรคก้าวไกล ก้าวล้ำหน้าทั้งๆที่เป็นพรรคฝ่ายค้าน มีหัวหน้าพรรคเป็นผู้นำฝ่ายค้าน ทำให้ก้าวไกลตีกินทางการเมืองได้เป็นชิ้นเป็นอัน เจ้านายเมืองไกลคงสั่งการให้ปรับปรุงพรรคใหม่ และปรับยุทธศาสตร์ใหม่ก็เป็นไปได้
ในขณะที่ฝ่ายรัฐบาลได้คะแนนจากการยกย่องจากต่างประเทศในเรื่องของการบริหารจัดการ Covid-19 Fight เพราะวิทยาลัยจอห์น ฮอปกิ้นส์ ได้เลื่อนอันดับจาก 6 เป็นอันดับ 1 ของโลก ด้านป้องกันโรคระบาดได้ยอดเยี่ยมและมีผู้ป่วยน้อยที่สุด
พร้อมๆกับ US.New&World Report ยกย่องให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่เหมาะในการเริ่มต้นธุรกิจของปี 63 (Best Countries to Start a business 2020) ให้ประเทศไทยเป็นอันดับ 1 ของโลกจาก 73 ประเทศทั่วโลก
จะส่งผลให้ไทยเป็นประเทศที่จะบูมหลังโควิด เพราะนักลงทุนต่างชาติต่างเห็นพ้องว่าประเทศไทยปลอดภัยที่สุด และน่าลงทุนที่สุด จะทำให้บรรดาเศรษฐีทั้งหลาย ย้ายหลักแหล่งมาปักหลักที่ประเทศไทย รวมทั้งผู้สูงอายุจากหลายประเทศ รวมใจที่จะย้ายมาพักระยะยาวกับประเทศที่มีการดูแลมนุษย์ที่ดีอย่างมีระบบ ทั้งๆที่ในสภาเองรัฐบาลกลับถูกโจมตีว่าบริหารจัดการขาดประสิทธิภาพ
นอกจากนี้รัฐบาลยังได้คะแนนจากการจัดงาน JOB EXPO ของกระทรวงแรงงานที่มียอดจากการจ้างงานถึง 1 ล้านตำแหน่ง แต่แม้ว่าจะมีผู้สมัครรอคิวบรรจุในเบื้องต้น 2 แสนกว่าคน ถือว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง เพราะการลงทุนภาคเอกชนยังไม่ฟื้น แม้ว่ารัฐจะจ่ายให้ 50% ของค่าจ้าง 1 ปีก็ตาม ยังคงต้องรอดูต่อไปว่าปัญหา COVID-19 เมื่อไหร่จะจบ
ท้ายสุดรัฐบาลขยายเวลา พรก.ฉุกเฉินไปอีก 1 เดือนถึงเดือนตุลาคม 63 เพื่อป้องกันการระบาดรอบ 2 ซึ่งไม่ได้ยินเสียงบ่นจากฝ่ายตรงข้ามอีกต่อไป คงต้องรอดูต่อไปว่า เจ้ากระทรวงการคลังคนใหม่จะเป็นใคร จะสามารถกอบกู้เศรษฐกิจไทยได้เพียงใด