สถาพร ศรีสัจจัง
เพื่อไม่ต้องอธิบายคำ “เผด็จการ” กับ “ประชาธิปไตย” ให้สับสนไปมากมาย ขอใช้เกณฑ์ “สามัญสำนึกแบบชาวบ้าน”สร้างภาพเปรียบเทียบให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมน่าจะดีกว่า นั่นคือการเปรียบเทียบระบบการปกครองประเทศที่เรียกตัวเองว่า “ระบอบคอมมิวนิสต์” (หรืออาจเรียก “สังคมนิยม”) เช่นประเทศ “สาธารณรัฐประชาชนจีน” เล็กลงมาหน่อยก็เช่น “สาธารณรัฐเวียดนาม” หรือ “คิวบา” เป็นที่เล็กจริงๆ และ เป็นประเทศเพื่อนบ้านเราก็เช่นประเทศ “สปป.ลาว” หรือ “สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว” นั่นไง!
ส่วนประเทศที่เรียกตัวเองว่าเป็นประเทศที่ปกครองด้วยระบอบ “ประชาธิปไตย” ก็นำด้วย ประเทศ “สหรัฐอเมริกา” และประเทศในยุโรป เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส หรือ เยอรมนี เป็นต้น ในเอเชียอาคเนย์เราก็มีประเทศในอาเซียนเกือบทั้งหมด ตั้งแต่อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และ พม่า (ยังถูกหาว่าเป็นเผด็จการทหารเหมือนประเทศไทยอยู่ ทั้งๆที่รัฐบาลซึ่งปกครองประเทศอยู่ในปัจจุบันก็มาจากการเลือกตั้งเช่นกัน!)
คนที่พอจะติดตามเรื่องราวของประเทศที่เป็น “ประชาธิปไตย” และ “ไม่เป็นประชาธิปไตย (คือเผด็จการ?) เหล่าที่เอ่ยชื่อเป็นตัวอย่างเหล่านั้นมาบ้าง คงพอจะนึกสภาพของ “บ้านเมืองและผู้คน” ของแต่ละประเทศออกว่า ปัจจุบันดำรงกันอยู่อย่างไร?
เอาที่สหรัฐอเมริกากับจีน(แผ่นดินใหญ่)ก่อน จีนเรียกระบอบการปกครองของตัวเองว่า “ประชาธิปไตยรวมศูนย์” สหรัฐอเมริกาเรียกระบอบการปกครองของตัวเองว่า “ประชาธิปไตยเสรีนิยม” มีคำที่เหมือนกันคือ “ประชาธิปไตย” มีคำที่ต่างกันคือ “รวมศูนย์” กับ “เสรีนิยม” สหรัฐอเมริกาบอกว่า ประชาธิปไตยแบบตน คนมี “เสรีภาพภายใต้เงื่อนไขของกฎหมาย” จีนก็บอกเช่นนั้น
คำ “เสรีภาพตามข้อกำหนดในกฎหมาย” จึงเป็นคำสำคัญที่สุดในระบอบการปกครองของ 2 ประเทศนี้!
และคำ “เสรีนิยม” กับคำ “รวมศูนย์” ถูกขยายภาพให้แตกต่างกับอย่างแทบจะที่สุดด้วย!
นั่นคือคำ “เสรี” ถูกขนายเชิงอรรถาธิบายสร้างภาพให้รู้สึกเหมือนประหนึ่งว่า “คน” หรือ “ราษฎร” ในประเทศ
อเมริกานั้นมี “สิทธิ” และ “เสรีภาพ” แบบ “อิ่มเต็ม” คือจะทำอะไรก็ได้ตามใจปรารถนา ตราบใดที่ยังไม่ “ละเมิด” สิทธิของผู้อื่น ส่วนคนในประเทศจีนต้องถูกรัฐบาลที่มาจากพรรคเดียวคือพรรคคอมมิวนิสต์ “บังคับ” ให้ต้องทำโน่นทำนี่ และ ไม่มี “สิทธิในการเลือกใช้ชีวิตอย่างมีเสรีภาพเลย"!
ซึ่งเมื่อถึงวันนี้ ที่ข้อมูลข่าวสารที่เป็นข้อเท็จจริงได้รับการเปิดเผยมากขึ้น รวดเร็วขึ้น คนทั่วไปที่มีใจเป็นธรรมมีข้อมูลจริงเพียงพอจะพบว่า ไม่มีความเป็นจริงเช่นนั้นดำรงอยู่ ทั้ง 2 ประเทศทั้ง 2 ระบอบล้วนมีข้อบกพร่องกันทั้งคู่ เช่น สิทธิที่โฆษณาสร้างภาพว่ามีอยู่อย่างเหลือเฟือในระบอบประชาธิปไตยแบบเสรีนิยมหลายเรื่องก็ไม่มีอยู่จริง เช่น เรื่อง “โอกาส” ที่ไม่สามารถสร้างความ “เท่าเทียม” หรือปฏิบัติได้จริงในหมู่ประชาชน มีความแตกต่างในเรื่องดังกล่าวระหว่างคนรวยกับคนจน คนมีอำนาจอิทธิพลกับคนไร้อำนาจไร้อิทธิพล เหมือนฟ้ากับดิน มีการคดโกงคอร์รัปชัน เหมือนๆกัน ระบอบหลายอย่างของรัฐก็ซับซ้อนซ่อนเงื่อนตรวจสอบไม่ได้เช่นเดียวกัน ฯลฯ
ในแง่นี้ ถ้าจะกล่าวเช่นว่า “สี จิ้นผิง” ผู้นำจีนเป็นเผด็จการ เพราะเป็นประธานาธิบดีที่มาจากพรรคคอม
มิวนิสต์ ส่วนนายโดนัลด์ ทรัมประธานาธิบดีประเทศสหรัฐอเมริกาเป็น “นักประชาธิปไตย” เพราะมาจากระบบเลือกตั้ง หรือจะกล่าวว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผู้นำประเทศที่ดีน่าเชื่อถือเหมือนนายโดนัลด์ ทรัมป์ เพราะมาจากการเลือกด้วยเสียงข้างมากในระบบรัฐสภาเหมือนกัน ก็ไม่น่าจะถูก
แล้วถ้าจะกล่าวว่า นายกฯที่ชื่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็น “เผด็จการ” เพียงเพราะ “เคย” ยึดอำนาจรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ถ้ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งนั้นเป็น “เผด็จการรัฐสภา” เพราะมาจากสมาชิกสภาฯที่ใช้เงินสกปรกชนะเลือกตั้งมา เป็นรัฐบาลคอร์รัปชันเชิงนโยบายที่ทำให้ประเทศและประชาชนเสียหาย โดยผ่านการพิสูจน์จากระบบศาลแล้ว ฯลฯ
แล้วอย่างนี้เราจะสรุปได้อย่างไรว่า “เนื้อหา” ของ “คน” หรือ “ระบบ” ที่เป็น “เผด็จการ” คืออะไรกันแน่ หรือระบบไหนกันแน่ที่จะนำ “คน” ในสังคมไปสู่ความสมานฉันท์ และ ความสุขสงบแบบที่มนุษย์ธรรมดาๆอย่างเราๆต้องการ
จริงๆ หรือไม่มี?
หรือทั้งหมดเพียงเป็นไปเพราะพลังการโปรแกรมหรือการโฆษณาชวนเชื่อจากนักสร้าง “วาทกรรม” (Discourse) ที่มุ่งหวังเพียงผลประโยชน์ของตนและ “พวกตน” ?!!!!