ประเด็นปัญหาที่ว่า ต้นตอสำคัญของปัญหาทางสังคมมาจาก “ความเหลื่อมล้ำ” นั้นไม่ใช่เรื่องใหม่เลย สังคมไทยพูดกันประเด็นนี้มานานแล้ว
ประเด็นปัญหาที่กำลังเรียกร้องกันเรื่อง “ความเท่าเทียม” แล้วลากโยงไปว่า การโหวตเลือกตั้งหนึ่งคน หนึ่งเสียง นั้นแสดงถึง “ความเท่าเทียม” ก็มิใช่เรื่องใหม่อีกเช่นกัน สังคมไทยเราเคยพูดกันประเด็นนี้มานานแล้ว
ประเด็นปัญหาว่าด้วยเรื่องความเสมอภาคทัดเทียมกันทางเศรษฐกิจ เป็นหลักประกันของเสรีภาพ ก็มิใช่เรื่องใหม่ ๆ อีกเช่นกัน วึ่งถ้ามองกันทั้งโลกแล้ว มนุษยชาติก็ถกปัญหานี้มาตั้งแต่ยุคปราชญ์เปลโตของกรีกแล้ว
ความความเสมอภาคในทางเศรษฐกิจ หรือระดับแห่งความเป็นอยู่ที่เท่าเทียมกันในสังคมนั้น เป็นสิ่งที่มนุษย์ฝันเฟื่อง เพราะเมื่อมีความเสมอภาคดังนี้แล้ว เสรีภาพอันแท้จริงจึงจะเกิดขึ้น คือเสรีภาพในการพูด การเขียน การแดงความคิดเห็น จะตามมา ตลอดจนเสรีภาพที่จะใช้ความรู้ความสามารถของตนให้เป็นประโยชน์แก่สังคม
คนฉลาดมาก ๆ ก็เลยอาศัย “ความฝันเฟื่อง” จุดนี้ มาใช้เป็นเครื่องมือในทางการปกครอง คือนักปกครองจะพร่ำบอกประชาชนว่า “ตนเองกำลังสร้างความเสมอทางเศรษฐกิจ กำลังลดความเหลื่อมล้ำ” แล้วก็สร้างโครงการใช้เงินต่าง ๆ นานา บอกว่าทำเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ
บางรัฐบาลก็อ้างการลดความเหลื่อมล้ำ เข้าไปกุมการดำเนินการทางเศรษฐกิจเสียเองโดยตรง หวังว่าจะช่วยให้พลเมืองผู้มีฐานะเศรษฐกิจไม่ดี เปลี่ยนแปลงเพราะมีรายได้สูงขึ้น
อย่างการรับจำนำข้าวในราคาสูงกว่าท้องตลาดของรัฐบาลเพื่อไทย มันมิใช่แค่ขั้นตอนรับจำนำ มันกลายเป็นว่า “รัฐ” เกือบจะผูกขาดการค้าข้าว เพราะรัฐเป็นผู้ซื้อข้าวเก็บไว้มากที่สุด แล้วสุดท้าย ต้องขาดทุน...วายป่วง
การที่รัฐเข้าไปดำเนินการทางเศรษฐกิจเองนั้น มิใช่เรื่องผิด มันอาจจะเกิดผลดี หรือเกิดผลเสียก็ได้
ตัวชี้ขาดมันมิได้ชี้ขาดที่ระบบ หากแต่ชี้ขาดที่ “คน” ผู้ปฏิบัติ ต่างหา
การที่รัฐจะเข้าไปดำเนินการทางเศรษฐกิจนั้น หากบุคคลที่มาประกอบกันเป็นรัฐ ยังมีความโลภ ยังพร้อมที่จะหาประโยชน์ใส่ตัวแล้ว ก็ยิ่งร้ายหนักขึ้นไปอีก เพราะราษฎรจะกลายเป็นทาสของรัฐ หรือบุคคลที่เป็นรัฐนั้นไป
ด้วยเหตุนี้เมืองไทยจึงยังทำไม่ได้
แนวทางการแก้ไขเศรษฐกิจ ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเสมอภาคทัดเทียมทางเศรษฐกิจนั้น นักวิชาการ,นักการเมือง เขียนวิธีการเสนอกันไว้มาก
แต่เชื่อเถิด ถ้าไม่มีคนที่กลัวบาปกลัวกรรมเข้ามาทำ ก็ไม่มีทางสำเร็จ
ทุกวันนี้ หาคนที่ไม่คิดโกงได้ยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรเสียอีก