ข่าวด้านลบเกี่ยวกับเรื่องการเงินในวัด เกิดขึ้นถี่มาก ข่าวเหล่านี้กระทบกระเทือนใจชาวพุทธไม่น้อย และก็น่าจะมีผลถึงความคิดและการปฏิบัติของทั้ง “ชาวบ้าน และ “ชาววัด” ด้วยไม่มากก็น้อย
ในอดีต “วัด” มีภาวะความเป็น “สถาบันทางสังคม” สูง พอ ๆ กับสถาบันศาสนาพุทธทีเดียว แต่ในทางรูปธรรมแล้ว ภาวะการเป้น “วัด” กับศาสนาพุทธ ก็มีความแตกต่างกันไม่น้อยอย่างน้อยที่สุดก็แตกต่างกันในความรู้สึกของชาวบ้าน และความแตกต่างกันในระดับการบริหารจัดการในอดีตชาวบ้านยกให้ “การวัด” เป็นเรื่องของสงฆ์ ปล่อยให้สงฆ์บริหารจัดการไปเอง อย่างที่ชาวบ้านมักเตือนกันว่า “ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์” ซึ่งถ้าหากสังคมองค์รวมยังเป้นแบบโบราณอยู่ การบริหารจัดการวัดแบบเดิม ๆ ก็คงไม่เป็นปัญหาบาดใจชาวบ้านแต่ทุกวันนี้สังคมมันเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว เปลี่ยนแปลงรวดเร็วรุนแรงจนสะเทือนถึงสถาบันทางสังคมแบบดั้งเดิมทั้งหมด
โลกกำลังเปลี่ยน...เกิดสิ่งใหม่ ความขัดแย้งใหม่ เป็นเรื่องธรรมดา ดังนั้นจึงอย่ามองปัญหาการบริหารจัดการวัดว่าเป็นปัญหาพิเศษ หรือปัญหาเลวร้ายอะไรนักหนา เพราะสถาบันทางสั
งคมทุกสถาบันก้กำลังสั่นคลอนกันทั้งนั้น
ในกระบวนการเปลี่ยนผ่านจากสังคมเก่า -ทุนนิยมการผลิตแบบกองทัพกรรมกร ไปสู่สังคมใหม่-ทุนนิยมเทคโนโลยี 4.0 , 5.0 การบริหารจัดการองค์กรสาธารณะทุกแห่งย่อมเกิดปัญหาในการปรับตัวเปลี่ยนแปลง
สำหรับองค์กรวัดไทย ที่มิได้ปรับตัวเปลี่ยนแปลงตามสังคมให้ทันมานานเกิอบศตวรรษหนึ่งแล้ว จึงยิ่งมีปัญหาขัดย้งกับภาวะสังคมใหม่มากกว่าองค์กรอื่น ๆ
งานบริหารจัดการองค์กรของนักบวชมีลักษณะเฉพาะตัว และมีลักษณะพิเศษที่อนุรักษ์นิยมสูงมากเมื่อสังคมภายนอกองคืกรนั้นเปลี่ยนแปงลไปมาก ย่อมเกิดปัญหาทางสาธารณะมากขึ้น ซึ่งเป็นหน้าที่ของ “รัฐ” จะต้องมีนโยบายที่ถูกต้องเหมาะสมแล้วนำสู่การมันเป็นธรรมดาที่จะเกิดปัญารูปธรรมมปกิบัติจริงอย่างฉับไว ทันสถานการณ์อย่ากลัวว่า การแก้ไขปรับปรุงนั้นจะมีปัญหาตามมา เพราะปัญหามันเกิดมีอยู่แล้ว เมื่อปรับปรุงแก้ไขใหม่แล้ว ก็ใช่ว่าจะหมดปัญหา ไม่มีปัญหาอีก เป็นธรรมดาที่จะมีปัญหารุปธรรมแบบอื่น ๆ เกิดขึ้นได้
ผู้บริหารอำนาจรัฐนั้น แท้จริงคือผู้มีหน้าที่ต้องแก้ปัญหา จึงไม่ควรกลัวปัญหาแต่ทว่าคนที่มีโอกาสเข้ามาใช้อำนาจรัฐไทยหลายคน อาจจะสับสนเรื่องอำนาจของตน ว่ามีอำนาจไว้ทำมาหากินหรือมีอำนาจไว้แก้ปัญหาสังคม