เสือตัวที่ 6 การถ่ายทอดความเห็นต่างจากรัฐและการดำเนินการของรัฐที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันในพื้นที่ปลายด้ามขวาน พบว่า สภาพปัญหาอันเกิดจากแนวคิดอันแปลกแยกแตกต่างจากรัฐ ของผู้ต้องขังในคดีความมั่นคงฯ ที่อยู่ในเรือนจำ ยังมีความคุกรุ่นอยู่ในใจตลอดมา และมีแนวโน้มที่จะมีความคับข้องใจมากขึ้นๆ ตามกาลเวลาที่ผ่านไป แม้ผู้ต้องขังเกือบทั้งหมดในคดีความมั่นคง จะสามารถผ่อนคลายความอึดอัดคับข้องใจในการถูกจองจำไปบ้าง แต่ก็ด้วยการผ่อนคลายความเครียดด้วยหลักคำสอนทางศาสนาที่ตนเองเคารพนับถือ โดยคนทั้งหมด ยังคงยึดมั่นในแนวคิดตามคำสอนทางศาสนาที่มีสาระสำคัญประการหนึ่งว่า ทุกสิ่งที่เกิดกับตนเอง แม้แต่การถูกจองจำในเรือนจำนั้น ก็เป็นประสงค์ของพระเจ้า ซึ่งได้ลิขิตไว้แล้ว หากแต่นั่น ไม่ได้ทำให้ความคิดแปลกแยก แตกต่างจากรัฐ ลดน้อยถอยลงแต่อย่างใด ในขณะที่การเข้าใจรับรู้ความรู้สึกนึกคิดของผู้ต้องขังโดยรัฐนั้น ยังไม่มีการดำเนินการอย่างจริงจังเท่าที่ควร ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน สภาพการดำรงอยู่ทางความคิดคับข้องใจของผู้ต้องขังคดีความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้และครอบครัวในกระบวนการพิจารณาคดีของรัฐ ยังคงมีอยู่ต่อไป โดยรัฐ ยังไม่ให้ความสำคัญกับการบรรเทาหรือแก้ไขปัญหาเหล่านี้เท่าที่ควร ด้วยเหตุที่หน่วยงานรัฐส่วนใหญ่เห็นว่า เมื่อกระบวนการยุติธรรม ถึงที่สุดแล้ว ทุกอย่างก็เป็นอันจบไป และหมดสิ้นความรับผิดชอบในการดำเนินการใดๆ ของรัฐโดยเฉพาะหน่วยงานด้านความมั่นคงอีกต่อไป ที่สำคัญประการหนึ่งคือ ระบบและกระบวนการบริหารจัดการของเรือนจำของรัฐนั้น มีสภาพเสมือนพื้นที่ปิด จึงไม่เปิดโอกาสให้ฝ่ายความมั่นคงของรัฐ นักวิชาการ เข้าไปศึกษาข้อมูลเชิงลึกในอีกแง่มุมหนึ่งในเรือนจำได้เท่าที่ควร จึงขาดโอกาสในการเข้าใจรับรู้ความรู้สึกนึกคิด และเสียโอกาสในการแสวงหาทางออกในการระงับยับยั้งการขยายต่อความเห็นต่างกับรัฐ ตลอดจนรูปแบบการส่งต่อความคิดที่อาจเป็นภัยต่อความมั่นคง ซึ่งล้วนแล้วแต่จะเป็นปัจจัยที่จะส่งผลให้เกิดการพลิกฟื้นของความขัดแย้งในพื้นที่ในรูปแบบอื่นๆ อันจะกลับเป็นโอกาส สร้างประโยชน์ต่อการขับเคลื่อนการต่อสู้กับรัฐของขบวนการแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่ได้อย่างไม่มีวันจบสิ้น นอกจากนั้น รัฐเองยังไม่มีกระบวนการในการสานต่อกระบวนการแก้ปัญหาในลักษณะดังกล่าวอย่างชัดเจนและเป็นระบบ ทั้งกลุ่มคนที่เป็นผู้ต้องขัง ตลอดจนครอบครัวของผู้ต้องขังคดีความมั่นคงรวมทั้งบรรดาญาติพี่น้อง และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่สมาชิกในครอบครัวของผู้ต้องขัง ที่ยังขาดการดูแล ให้แนวคิดและความเข้าใจรับรู้ที่ถูกต้องเหมาะสมเท่าที่ควร ด้วยรัฐ ยังขาดหน่วยงานเจ้าภาพหลักที่จะเป็นหน่วยงานในการบูรณาการการแก้ปัญหาด้านนี้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะการบูรณาการการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบระหว่างกระทรวงยุติธรรม โดยเรือนจำ กับหน่วยงานความมั่นคง และกระทรวงหรือหน่วยงานในการศึกษานอกระบบ การพัฒนาอาชีพ รวมทั้งการพัฒนาคุณภาพชีวิต ที่สำคัญคือหน่วยงานส่วนใหญ่ยังไม่ตระหนักถึงภยันตรายที่กำลังก่อตัวขึ้นเงียบๆ ประดุจดังกำลังก่อตัวของคลื่นใต้น้ำ ที่พร้อมจะถาโถมเข้าหาฝั่งเมื่อโอกาสอำนวย ซึ่งการดำเนินการต่อขยายความเห็นต่างกับรัฐในผู้ต้องขังคดีความมั่นคง ให้เกิดขึ้นกับบรรดาผู้ต้องขังในเรือนจำแล้ว แนวคิดแปลกแยกแตกต่างจากรัฐ ยังถูกส่งต่อไปยังบรรดาเครือญาติของผู้ต้องขังเหล่านั้นอย่างกว้างขวางมากขึ้นๆ อย่างน่าสะพรึงกลัว อันเป็นการขยายต่อความเห็นต่างจากรัฐสู่ความคับแค้นข้องใจในระบบความยุติธรรมของรัฐ อันเป็นระบบที่เป็นพื้นฐานสำคัญในการหลอมรวมความเป็นรัฐชาติ โดยที่หน่วยงานภาครัฐเกือบทั้งหมด ไม่ได้ตระหนักถึงการสร้างความเห็นต่างจากรัฐในพื้นที่ปิดเช่นเรือนจำดังกล่าวข้างต้น ดังนั้น รัฐไทยในระดับนโยบาย จึงต้องตระหนักในคลื่นใต้น้ำที่กำลังก่อตัวขึ้นเงียบๆ ในพื้นที่ปิด เช่นเรือนจำ เป็นพายุลูกใหญ่ในอนาคต และเร่งสร้างการยอมรับในระบบการพิจารณาคดีความมั่นคงฯ ในระบบยุติธรรมโดยเร็ว ด้วยการดำเนินการอย่างบูรณาการหน่วยงานทุกหน่วย ทุกระดับ ด้วยความจริงจังและเป็นรูปธรรมโดยเร็ว เพื่อระงับยับยั้งการสร้างความเห็นต่างกับรัฐในเรือนจำ ผ่านการสร้างวาทกรรมให้ผู้ต้องขังและบรรดาเครือญาติ ปฏิเสธระบบการยุติธรรมของรัฐโดยเร็ว ด้วยการดำเนินการ (Ways) ให้เกิดการยอมรับในกระบวนการยุติธรรมของรัฐ อย่างเป็นระบบ ต่อเนื่อง อาทิ 1) จัดระบบให้กระบวนการพิจารณาคดีความมั่นคง ในพื้นที่ 3 จชต. มีระบบการตรวจสอบ ถ่วงดุลอย่างรอบด้าน โปร่งใส สามารถรับการตรวจสอบได้ ตั้งแต่ชั้นพนักงานสอบสวน จนถึงชั้นศาล และหากผู้ต้องหารายใด ไม่สามารถหาทนายได้ ให้รัฐหาทนายที่เป็นที่ยอมรับของผู้ถูกกล่าวหาโดยรัฐเป็นผู้สนับสนุนค่าใช้จ่ายให้ตามสมควร 2) จัดระบบให้มีการประกันตัวผู้ต้องหา โดยกองทุนช่วยเหลือผู้ต้องหาในคดีความมั่นคง (คดีอาญา) เพื่อจำเลยในคดีความมั่นคง เกิดความรู้สึกว่า ได้รับความเป็นธรรม จากการอำนวยความสะดวกของรัฐอย่างเต็มที่แล้ว 3) ในระหว่างขั้นตอนของการต่อสู้คดีในชั้นศาล รัฐควรจัดหาสถานที่ควบคุมเป็นพิเศษ เฉพาะผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีความมั่นคง ใน จชต. เพื่อให้แยกการดูแลผู้ถกกล่าวหา ออกมาจากผู้ต้องขังที่คดีสิ้นสุดแล้ว ทั้งนี้ เป้าหมายของการดำเนินการของรัฐในกระบวนการยุติธรรมของรัฐดังกล่าวข้างต้น เพื่อลดความกดดัน ลดความรู้สึกคับข้องใจจากการดำเนินการของรัฐ โดยเฉพาะการส่งผ่าน ขยายต่อความคิดแปลกแยกแตกต่างจากรัฐ ที่กำลังดำเนินการในเรือนจำในพื้นที่ปลายด้ามขวาน ผ่านการสร้างวาทกรรมการไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมของรัฐ จนถึงขั้นการปฏิเสธกระบวนการยุติธรรมของรัฐของผู้ต้องขัง ผู้ตกเป็นจำเลยในคดีความมั่นคงตลอดจนบรรดาญาติสนิทมิตรสหายของพวกเขา ให้ความคิดแปลกแยกแตกต่างจากรัฐด้วยกระบวนการเหล่านั้น ถูกส่งผ่านความเห็นต่างจากรัฐให้เกิดกับบรรดากลุ่มคนในเรือนจำและเครือญาติให้เหลือน้อยลงที่สุด จนไม่เหลือพื้นที่ใดๆ ในการส่งต่อความเห็นต่างให้คนในพื้นที่แห่งนี้ของขบวนการร้ายกลุ่มนี้ได้อีกต่อไป