เสรี พงศ์พิศ www.phongphit.com คิดแบบชาวบ้านธรรมดา อเมริกาถอนตัวจากข้อตกลงปารีสเกี่ยวกับ “โลกร้อน” คนที่จะได้รับผลกระทบทางลบโดยตรงก่อนใครคงเป็นคนอเมริกันกระมัง เพราะก่อนที่ฝุ่นละอองหมอกควันและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะลอยขึ้นไปสู่อวกาศ คนอเมริกันก็สูดดมเข้าไปแล้วเท่าไร เพราะร้อยละ 15 ของมลพิษทั้งหมดของโลกถูกปล่อยจากอเมริกา ก่อนที่อเมริกาจะ “ส่งออกความตาย” ไปยังประเทศอื่นอย่างอาหารขยะ บุหรี่ เหล้า คนอเมริกันก็บริโภคสิ่งเหล่านี้เข้าไปจนกลายเป็นประเทศที่มีปัญหาสารพัดโรค คนกว่าสองในสามน้ำหนักเกิน หนึ่งในสามเป็นโรคอ้วน พร้อมกับโรคหัวใจ เบาหวาน เส้นเลือดตีบตัน อัมพฤกษ์ อัมพาต อาหารขยะเต็มไปด้วยไขมัน เกลือ น้ำตาล รวมทั้งไขมันทรานส์ (transfat) หรือไขมันกลายรูปที่ผู้บริโภคอเมริกันรวมตัวกันต่อต้านจนสามารถออกกฎหมายห้ามในหลายมลรัฐ แต่อเมริกาก็กลับส่งอาหารในรูปขนมกรุปกรอบ ช็อคโกเลตที่มีไขมันทรานส์เกินขีดอันตรายไปขายทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศด้อยพัฒนา กำลังพัฒนาที่ไม่มีกฎหมายห้ามเรื่องนี้ มีการฟ้องร้องบริษัทบุหรี่ในสหรัฐ แต่นักการเมืองอเมริกันเองที่ไปล็อบบี้ประเทศต่างๆ บังคับแกมขอร้องให้นำเข้าบุหรี่อเมริกัน อ้างนิติรัฐนิติธรรมในประเทศ แต่ไม่ใช้มาตรฐานเดียวกับประเทศอื่น ขณะที่ในอเมริกามีการต่อสู้เพื่อไม่ให้ใช้กระบวนการทำอาหารขยะเช่นเบอร์เกอร์และของทอดทั้งหลาย ที่ใช้น้ำมันพืชและไขมันทรานส์จนต้องมีการประนีประนอมลดหรือเลิกวัสดุอันตราย แต่บริษัทเหล่านี้ก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงวิธีการผลิตอาหารขยะในประเทศอื่นที่ไม่มีการต่อสู้เรื่องสิทธิผู้บริโภค อเมริกาเป็นเจ้าตำหรับน้ำอัดลมผสมสีใส่น้ำตาล ดื่มขวดเดียวได้น้ำตาลสองเท่าของปริมาณที่แพทย์แนะนำให้คนบริโภคน้ำตาลจากอาหารเครื่องดื่มทั้งหมดรวมกันต่อวัน ไม่ป่วยไม่อ้วนเอาเท่าไร วันนี้ อเมริกากำลังจะ “ส่งออก” มลพิษเข้าสู่บรรยากาศถึงร้อยละ 15 ของทั้งหมดจากทั่วโลกแบบไม่มีลด มีแต่จะเพิ่มขึ้น โดยไม่สนใจว่า ใครในโลกจะเป็นอย่างไร เพราะเขาเตรียมใจให้ข้อมูลคนอเมริกันไว้นานตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งว่า เรื่องโลกร้อนเป็นเรื่องหลอกๆ อย่าไปเชื่อ นายทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาประกาศในวันที่ถอนตัวจากข้อตกลงปารีสว่า “ต่อไปนี้โลกจะไม่หัวเราะเยาะอเมริกาอีก” ซึ่งป็นอะไรที่ตลก เพราะโลกเริ่มหัวเราะเยาะอเมริกาตอนที่เลือกคนอย่างนายทรัมป์เป็นผู้นำประเทศ และหัวเราเยาะหนักมากขึ้นไปอีกวันนี้กับการประกาศดังกล่าว เขาคิดว่าจะส่งเสริมอุตสาหกรรมถ่านหินและน้ำมันให้กลับมายิ่งใหญ่ สวนกระแสโลกที่กำลังหันไปใช้พลังงานหมุนเวียน ข้อมูลบอกว่า แรงงานเกี่ยวกับถ่านหินวันนี้มีไม่ถึงครึ่งของแรงงานในพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งมากขึ้นอย่างรวดเร็ว และถ่านหินไม่มีทางตามทัน มีแต่ละลดลงไปเรื่อยๆ (เหมืองถ่านหินใหม่ที่จะเปิดในเพนซิลเวเนียมีคนงานเพียง 70 คน) ไม่ใช่เพราะเหตุผลทางการเมืองแต่เหตุผลทางเศรษฐกิจ เพราะราคาไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ถูกกว่าและถูกลงไปเรื่อยๆ ทั้งในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก ส่วนน้ำมันเองก็กำลังจะหมดยุค รถยนต์ทั่วโลกกำลังเปลี่ยนมาใช้ไฟฟ้า น้ำมันกว่าครึ่งหนึ่งในโลกวันนี้ถูกใช้ในรถยนต์ อีกไม่ถึง 10 ปีนักวิเคราะห์บอกว่า รถยนต์ใหม่ทุกคันที่ผลิตออกมาจะเป็นรถไฟฟ้า ต่อให้นายทรัมป์ประกาศสนับสนุนถ่านหินและน้ำมันเพียงใดก็คงไม่มีใครใช้ ในอเมริกาวันนี้ มีบ้านใหม่ขายพร้อมหลังคาผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ โดยไม่ต้องติดตั้งแผงโซล่าร์เซลล์ ทั่วโลกกำลังแข่งกันผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ และที่ใช้ในบ้าน ในโรงงาน ที่ทำงาน นักวิเคราะห์มองว่า นายทรัมป์เป็นคนบ้าบิ่น สวนกระแสโลก และต่อสู้กับเกือบ 200 ประเทศ ที่ผนึกกำลังกันหนักแน่นยิ่งขึ้นในการแก้ปัญหาโลกร้อน รวมทั้งคนอเมริกันครึ่งหนึ่ง ซึ่งกำลังตีอกชกหัวและไม่รู้จะทำอย่างไรจึงจะไล่ผู้นำที่ทำความอับอายให้อเมริกา แต่กลับคิดว่ากำลังสร้างความยิ่งใหญ่ให้ประเทศ ที่โลกกำลังหัวเราะเยาะอเมริกาวันนี้ เป็นเพราะมีผู้นำที่ใช้ความไม่รู้เท่าทันของคนเอมริกันและเทค โนลีสมัยใหม่เพื่อขึ้นสู่อำนาจ เป็นการครอบงำที่แนบเนียนของอำนาจนำ (hegemony) ยุคใหม่ ว่ากันว่า อเมริกากำลังสูญเสียความเป็นผู้นำคุณธรรม (moral leadership) หรือผู้นำความถูกต้องเป็นธรรม ซึ่งเป็นมาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ในประเทศที่ถือเอาทุนนิยมสามานย์เป็นสรณะ ร่ำรวยด้วยการค้าที่ไม่เป็นธรรม รวมทั้งค้าความตายขายอาวุธ