เสือตัวที่ 6
การขับเคลื่อนการต่อสู้ของขบวนการสร้างความแตกแยก เห็นต่างจากรัฐและคนส่วนใหญ่ของประเทศ แห่งนี้ ให้ยังคงดำรงความต่อเนื่องมาเป็นเวลาหลายสิบปี โดยเน้นยุทธศาสตร์การยึดครองประชาชนในหมู่บ้านเป็นฐาน และอาศัยการบ่มเพาะแนวความคิดการก่อความไม่สงบให้กับประชาชนเป้าหมายในพื้นที่ โดยอาศัยรากเหง้าทางประวัติศาสตร์ ชาติพันธุ์ เป็นเงื่อนไขสำคัญ ร่วมกับการใช้ความเป็นตัวตนเฉพาะถิ่นในพื้นที่ และหลักความเชื่อทางศาสนา เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญเพื่อให้ไปสู่เป้าหมายทางยุทธศาสตร์ที่ตั้งไว้ โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ การสร้างความรู้สึกนึกคิดให้ประชาชนในพื้นที่มีความเห็นต่างจากรัฐ เพื่อนำประชาชนเหล่านั้น มาเป็นแนวร่วมขบวนการแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่แห่งนี้ในที่สุด
ซึ่งรัฐได้ใช้ความพยายามอย่างแรงกล้าที่จะลดและขจัดเงื่อนไขต่างๆ ดังกล่าว โดยเฉพาะเงื่อนไขที่แกนนำขบวนการฯ มักจะแอบอ้างว่า ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากรัฐ ซึ่งไม่เป็นความจริงแม้แต่น้อย ด้วยการที่รัฐได้พิสูจน์ให้ประชาชนในพื้นที่และประชาคมโลก เห็นเชิงประจักษ์ว่า รัฐได้ใช้กระบวนการยุติธรรม ตามระบบกลไกทางกฎหมายของรัฐ เพื่อนำมาซึ่งการให้โอกาส และสร้างความเป็นธรรมให้ผู้ถูกกล่าวหาในคดีความมั่นคงในพื้นที่แห่งนี้จนถึงที่สุด ซึ่งการดำเนินการของรัฐต่อจำเลยได้นำมาซึ่งความไว้เนื้อเชื่อใจของประชาชนต่อรัฐมากขึ้น ด้วยหากพิสูจน์ชัดจากพยานหลักฐานได้ว่า ผู้ถูกกล่าวหาได้กระทำความผิดจริงตามที่ถูกกล่าวหา ก็จะถูกพิจารณาให้รับโทษทัณฑ์ตามกฎหมายต่อไป
อย่างไรก็ตาม ระบบยุติธรรมที่ผ่านมาของรัฐ ยังไม่สามารถสร้างหลักประกันความเชื่อมั่นให้กับผู้เห็นต่างจากรัฐในระบบยุติธรรมได้เท่าที่ควร โดยเฉพาะผู้ที่เป็นจำเลยในความผิดในคดีความมั่นคง ซึ่งถูกควบคุมตัวในเรือนจำ ระหว่างการพิจารณาคดี และผู้ที่ตกเป็นผู้ต้องขังในเรือนจำในคดีความมั่นคงเป็นที่สิ้นสุดแล้ว ทั้งนี้ กระบวนการทางยุติธรรม สามารถหล่อหลอมให้ประชาชนผู้หลงผิด และเคยเห็นต่างจากรัฐให้เปลี่ยนความคิด ปรับทัศนคติในการมองปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นใหม่อีกแง่มุมหนึ่ง และรอบด้านมากขึ้น เพื่อให้เกิดการคิดเชิงบวก (Positive Thinking) มากขึ้น ด้วยการมีส่วนร่วมของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อและเคยหลงผิด เห็นต่างจากรัฐ ไม่ให้สร้างและขยายเครือข่ายแบ่งแยกดินแดน ตลอดจนไม่ให้กลับมากระทำความผิดซ้ำ อันเป็นการตัดวงจรขบวนการแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่แห่งนี้ได้อย่างแท้จริง ด้วยยุติธรรมเปลี่ยนผ่านเพื่อการร่วมมือกันแก้ปัญหาและร่วมพัฒนาท้องถิ่นตามแนวทางสันติวิธี (Peaceful Way) อันจะเป็นประโยชน์ต่อการนำความสงบสุขมาสู่พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้อีกครั้งหนึ่ง
แม้กระบวนการในเรือนจำที่มีในปัจจุบัน จะดำเนินการด้วยการเคารพในสิทธิความเชื่อ และวิถีชีวิตตามหลักศาสนาอย่างมากแล้วก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหารฮาลาล ที่ประกอบอาหารด้วยผู้ต้องขังชาวมุสลิมเอง หรือการปฏิบัติศาสนกิจตามห้วงเวลาที่กำหนดในหลักศาสนา การปรับห้วงเวลารับทานอาหารของพี่น้องผู้ต้องขังชาวมุสลิมให้เหมาะสมในห้วงถือศีลอด ตลอดจนการถ่ายทอดคำสอนตามหลักศาสนาก็ตาม หากแต่สภาพของความคิดที่ยังเป็นปัญหาคับข้องใจของผู้ต้องขังในคดีความมั่นคงก็คือ การที่พวกเขาไม่ได้รับความยุติธรรมเท่าที่ควร เหล่านี้คือเงื่อนไขสำคัญที่อาจส่งผลให้แนวโน้มในอนาคต เมื่อผู้ต้องขังได้พ้นโทษและออกไปจากเรือนจำไปแล้ว ตลอดจนญาติพี่น้อง คู่สมรส บุตร หลานมีโอกาสความเป็นไปได้สูงที่จะมีความหวาดระแวงการดำเนินการของรัฐอยู่ต่อไป ซึ่งล่อแหลมต่อการตกเป็นเป้าหมายในการขยายแนวร่วมของขบวนการแบ่งแยกดินแดนในรูปแบบต่างๆ
ซึ่งอย่างน้อย บุคคลเหล่านี้ ก็จะเป็นกลุ่มที่สืบทอดและร่วมขยายแนวคิดการเห็นต่างจากรัฐในรูปแบบต่างๆ ไปได้ เพราะความคิดของการไม่ยอมรับในกระบวนการยุติธรรมเหล่านั้น ได้ถูกถ่ายทอดไปยังกลุ่มผู้ต้องขังรายอื่นๆ โดยเฉพาะผู้ต้องขังในคดีความมั่นคงฯ ด้วยกันในเรือนจำ ตลอดจนญาติพี่น้อง ที่มาเยี่ยมในเรือนจำ อันจะเป็นการขยายต่อความเห็นต่างจากรัฐให้กว้างขวางออกไป ด้วยไม่เชื่อมั่นในระบบของรัฐตามที่กล่าวอ้าง ด้วยสภาพของความคิดในปัจจุบันของผู้ต้องขัง ที่สืบเนื่องจากการไม่ยอมรับในกระบวนการพิจารณาคดีที่ผ่านมาข้างต้น ยังส่งผลให้กลุ่มผู้ต้องขังเหล่านั้น มีความคิดที่ขุ่นเคืองรัฐ ด้วยคิดว่า รัฐเป็นต้นเหตุที่ทำให้คนในครอบครัวของเขาต้องใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่ด้วยความยากลำบาก ความรู้สึกเหล่านี้ ยิ่งตอกย้ำความคับข้องใจของผู้ต้องขังเหล่านี้ ให้มีความเห็นต่างจากรัฐมากขึ้นเรื่อยๆ และมีแนวโน้มของความคับข้องใจจนเป็นชนวนเหตุของความคิดแปลกแยกแตกต่างจากรัฐมากขึ้นๆ
ด้วยหวาดระแวงจากการสืบทอดความคิดต่อๆ กัน แม้จะเป็นชีวิตหลังพ้นโทษ ก็ถูกส่งต่อให้คิดไปเองว่า อาจถูกเจ้าหน้าที่รัฐเพ่งเล็ง ตรวจสอบพฤติกรรมเป็นพิเศษ จนถึงขั้นคิดไปว่าอาจถูกยัดเยียดข้อหาความมั่นคง หากเกิดเหตุร้ายในพื้นที่ในอนาคตได้ เหล่านี้คือต้นตอของความเห็นต่างจากรัฐ อันเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ล่อแหลมต่อการขยายแนวคิดแปลกแยกจากรัฐ ให้เกิดแนวร่วมขบวนการฯ ได้โดยง่าย บนพื้นฐานของการไม่ได้รับความเป็นธรรมในกระบวนการยุติธรรมของรัฐ ซึ่งนั่น จะเป็นมูลเหตุสำคัญในการขยายความคิดคับข้องใจ และมีแนวโน้มในการปลีกตัวออกห่างจากรัฐมากขึ้น ทั้งตัวผู้ต้องขังเอง ตลอดจนสมาชิกในครอบครัว และมิตรสหายในพื้นที่ ซึ่งจะเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ล่อแหลมต่อการถูกปลุกระดม ชี้นำ ขยายความคิดให้เห็นต่างจากรัฐ ให้เข้าเป็นแนวร่วมในขบวนการแบ่งแยกดินแดน 3 จชต. ได้ในที่สุด