แสงไทย เค้าภูไทย
ขณะที่โควิด-19 ยังแพร่ระบาดไม่หยุด ไข้หวัดหมูกลับมาปรากฏตัวอีกในจีน หวั่นว่าจะซ้ำเติมสถานการณ์ จนกลายเป็นปรากฏการณ์โรคล้างโลก
วันนี้ คนทั้งโลกติดเชื้อโควิด-19 กว่าสิบล้านคน รายงานเมื่อต้นสัปดาห์นี้ ทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 502,000 คน จากผู้ติดเชื้อกว่า 10.1 ล้านคนที่มีจำนวนเพิ่มวันละกว่า 50,000 คน
โดยผู้เสียชีวิตเป็นชาวอเมริกันเสีย 1 ใน 4 ขณะที่บราซิลกับอินเดียกำลังเพิ่มตัวเลขไล่หลัง
มหาวิทยาลัยจอห์นส์ ฮอพกิ้นส์ ของสหรัฐฯผู้เก็บสถิติการระบาดของโรควิเคราะห์แนวโน้มว่ายุโรปกำลังเริ่มลดลง ขณะที่เอเชียกลับมาระบาดซ้ำ ด้วยตัวเลขผู้ติดเชื้อในจีนรอบใหม่กับอินเดียที่พุ่งกว่า 100,000 คน
แต่ขณะที่ไวรัสโควิด-19 ยังคงขยายจำนวนผู้ติดเชื้ออยู่นี้ กลับมีการค้นพบไวรัสสายพันธุ์ใหม่ในหมูถึง 179 พันธุ์
ไข้หวัดหมู (Swine Flu) เคยระบาดใหญ่เมื่อปี 2009 การกลับมาใหม่ครั้งนี้ กลายพันธุ์ไม่ต่างจาก ไวรัสสายพันธุ์โคโรนาที่ ตัวปัจจุบันนี้คือ SARS-CoV-2 อันเป็นไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ที่ 7 ที่สืบสายมาจากไวรัสเมอร์สและซาร์ส
H1N1 2009 เป็นชื่อทางการ ส่วนชื่อสามัญคือ Swine Flu ไข้หวัด(ใหญ่)หมู เพราะเชื้อไวรัสพันธุ์นี้เกิดในตัวหมู ส่วนอีกชื่อคือไข้หวัดใหญ่ไอโอวา เหตุจากเริ่มระบาดครั้งแรกที่รัฐไอโอวา ของอมริกา
ก่อนหน้านี้ มีการค้นพบ ไวรัส ที่ได้รหัสสายพันธุ์ G4 ที่เป็นอนุพันธุ์ของ H1N1 เมื่อปี 2018 มีการแพร่ระบาดในมนุษย์ไม่รุนแรงนัก
แต่รายงานข่าวจากเซี่ยงไฮ้ระบุว่า เชื้อที่พบใหม่ในหมูซึ่งมีลักษณะคล้ายไวรัสไข้หวัดนก( Bird Flu)และ Swine Flu ข้ามสายพันธุ์ จึงใช้รหัส G4 EA H1N1
ไวรัสกลุ่มไข้หวัดใหญ่ที่พบใหม่นี้ มีแนวโน้มระบาดระดับ pandemic ได้
จากการตรวจเลือดคนเลี้ยงหมู สามารถพบเชื้อ 2 คน ทำให้ต้องเร่งติดตามตรวจเลือดคนงานโรงฆ่าสัตว์รวมถึงเขียงหมูทุกแห่ง พบว่าเชื้อนี้แพร่อยู่ใน 10 มณฑล
เป็นข่าวร้ายที่ซ้ำเติมสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างน่าวิตก
ช่วงเกิดการแพร่รุนแรง มีการล็อกดาวน์เข้มงวด สภาพแวดล้อมของโลกดีขึ้นอย่างน่าตื่นใจ
เฉพาะไทยนั้น เต่ามะเฟืองพากันคลานขึ้นมาวางไข่บนหาดทรายที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปี
ยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย ล้วนสภาพแวดล้อมที่มีคุณภาพกลับคืนมา แสดงว่า มนุษย์เป็นตัวการมลภาวะโลกที่สำคัญที่สุด
แต่เมื่อมีการเปิดเมือง ผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ เกือบทุกประเทศที่ไวรัสระบาด กลับเผชิญกับการกลับมาใหม่ สภาพแวดล้อมที่เลวร้ายกลับมาด้วยเช่นกัน
ดูคล้ายกับว่า เชื้อไวรัสเข้ามาลดจำนวนประชากรโลกเพื่อคืนสภาพแวดล้อมและธรรมชาติบริสุทธิ์ให้แก่โลกโดยแท้
นักวิชาการด้านภูมิคุ้มกันชี้ว่า การเกิดโรคไวรัสระบาดซ้ำจะหมดไปเมื่อเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ (herd immunity) โดยภูมิคุ้มกันนี้ เกิดได้โดยตัวผู้ติดเชื้อที่หายป่วย กับผู้ที่ได้รับวัคซีน
ก่อนหน้านี้ใช้เกณฑ์ผู้ติดเชื้อหายป่วยคิดเป็นสัดส่วน 60%ของจำนวนประชากรในชุมชนหรือประเทศ
แต่ขณะนี้ กำหนดว่าต้องมีผู้ป่วยและหายแล้วถึง 70% กับผู้ที่ได้รับวัคซีนที่เหลือ จึงถือเป็นภูมิคุ้มกันหมู่ได้
สหรัฐฯมีประชากร 350 ล้านคน หากจะเป็นสังคมที่มีภูมิคุ้มกันหมู่ที่ไวรัสโคโรนาจะไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว
จะต้องมีผู้ป่วยและหายถึง 245 ล้านคน โดยส่วนที่เหลือจะมีภูมิคุ้มกันจากวัคซีน
วัคซีนจึงเป็นความหวังเดียวที่พวกเขาจะมีภูมิคุ้มกันหมู่ได้
แต่ถ้ายังคิดค้นวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ไม่สำเร็จภายใน 1 ปีจากนี้ไปไม่แน่เหมือนกันว่า พลโลกจะถูกไวรัสนี้กวาดล้างไปเท่าใด
คำนวณกันตามอัตราเร่งในการติดเชื้อขณะนี้ เชื่อว่าพลโลกจะตายไปกับไวรัสนี้ไม่ต่ำกว่า 40 ล้านคนในปลายปีนี้ หากมีการระบาดระลอกสอง
เป็นการล้างโลกด้วยโรค คนที่เหลืออยู่จะเป็นคนที่ประพฤติตนในกรอบที่เป็น New Normal ระมัดระวังรักษาตัวดี มีภูมิคุ้มกันเข้มแข็ง สู้ไวรัสหรือโรคที่มาล้างโลกตัวใหม่ๆได้
วงจรการระบาดของไวรัสล้างโลกเหล่านี้ เกิดขึ้นทุก 10 ปีโดยเฉลี่ย
อย่างเมอร์สกับซาร์สนั้นห่างกัน 8-10 ปี โควิด-19 คร่อม 8-9 ปี ถ้าหวัดหมูพันธุ์ใหม่มา ก็ 10 ปีพอดี
ถ้ามนุษย์ไม่ล้างโลกให้สะอาด โรคพวกนี้จะมาช่วยล้างโลกแทนในทุกๆ 10 ปี