เสือตัวที่ 6
ยุทธศาสตร์ที่ต้องการการเน้นงานสงครามการเมือง ที่ให้ความสำคัญกับการปลูกฝังความคิด จนเป็นความเชื่อในรูปแบบชาตินิยมแบบสุดโต่ง รวมทั้งการสร้างความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนในประเด็นสำคัญตามหลักศาสนา (ดารุลฮัรบี) ที่พยายามตีความอันจะนำไปสู่การต่อสู้กับศัตรูที่ถูกสร้างขึ้นมา พร้อมกับการปฏิเสธการอยู่ร่วมกันในแนวทางอันหลากหลายในแบบสังคมพหุวัฒนธรรมที่รัฐไทยพยายามนำเสนอ เพื่อให้แง่คิดที่ตรงข้ามกับแนวคิดแบบอัตลักษณ์เฉพาะถิ่นที่ถูกนำเสนอผ่านวาทกรรมให้เกิดความเห็นต่างจากคนในพื้นที่อื่นของประเทศในสังคมใหญ่ของชาติ โดยในห้วงเวลานี้ บรรดาแกนนำของขบวนการร้ายแห่งนี้ ได้ปรับยุทธศาสตร์การต่อสู้กับรัฐใหม่ให้สอดรับกับสถานการณ์ในปัจจุบัน โดยถ่ายเทน้ำหนักจากการก่อเหตุรุนแรงอย่างไร้ขอบเขต อันเป็นไปตามยุทธศาสตร์เดิมของบันได 7 ขั้น ในการแบ่งแยกดินแดน ไปสู่การต่อสู้ทางการเมืองโดยการปลูกฝัง เผยแพร่ ขยายแนวคิดให้คนนพื้นที่รุ่นแล้วรุ่นเล่า เกิดการเห็นต่างอย่างสุดโต่งจากคนส่วนใหญ่ของรัฐ หากแต่การก่อเหตุรุนแรงยังคงมีความจำเป็นและมีความสำคัญที่ต้องการการสื่อสารไปยังสังคมโลกให้รับรู้ถึงความขัดแย้งด้วยอาวุธอย่างรุนแรงของคนในพื้นที่ท้องถิ่นกับรัฐไทยอยู่ต่อไป
แต่มุ่งสู่การทำลายระบบการปกครองของรัฐซึ่งเป็นสัญญลักษณ์ของอำนาจรัฐ พร้อมกับส่งสัญญาณความขัดแย้งด้วยอาวุธอย่างรุนแรงออกสู่การรับรู้ในประชาคมระหว่างประเทศนี้เองที่ทำให้พฤติกรรมการก่อเหตุรุนแรงของกลุ่มกองกำลังติดอาวุธของขบวนการแห่งนี้ จึงมุ่งกระทำต่อเป้าหมายเชิงสัญลักษณ์ของอำนาจรัฐมากขึ้นกว่าช่วงก่อนหน้านี้ และเน้นคุณภาพของการทำลายล้าง ที่เรียกได้ว่า ทำลายขนาดใหญ่และส่งผลทางจิตวิทยาทางสังคมมากขึ้น มากกว่าการสร้างความบ่อยครั้งหรือความถี่ในการก่อเหตุที่ต่อเนื่องอย่างเช่นที่ผ่านมา ทั้งมุ่งการก่อเหตุร้ายที่ต้องทำเพื่อเสริมงานการเมือง ทั้งต่อประชาคมระหว่างประเทศและประชาชนในพื้นที่ จชต. เป็นสำคัญ
เหล่านี้ จึงเป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่ง ที่ทำให้การก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ดูจะมีการก่อเหตุที่มีจำนวนครั้งลดลง หากมองในแง่ยุทธศาสตร์ใหม่นี้กลุ่มนักคิดของขบวนการร้ายแห่งนี้ ได้ถ่ายเทน้ำหนักในการก่อเหตุรุนแรง ไปสู่การหล่อหลอมบ่มเพาะแนวคิดสุดโต่งให้เกิดขึ้นกับกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น อันเป็นการเพิ่มน้ำหนักและให้การส่งเสริมกับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์งานการเมือง เพื่อสร้างคนในเชิงความคิดและความเชื่อในการแยกตัวปกครองกันเองมากขึ้น อันเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ล่าสุดนี้ ไปสู่การสร้างพื้นที่ปลดปล่อยทางการเมือง (De-facto) เป็นเป้าหมายสำคัญ ทั้งสามารถใช้พื้นที่ปลดปล่อยทางการเมือง (De-facto) ในการควบคุมมวลชน และขับเคลื่อนยุทธศาสตร์อื่นๆ ให้บรรลุเป้าหมาย โดยมีสิ่งบอกเหตุให้สามารถตรวจพบยุทธศาสตร์การสร้างพื้นที่ปลดปล่อยว่ามีอยู่จริงในพื้นที่นั้น มีองค์ประกอบสำคัญ 2 ประการ คือ 1.องค์ประกอบเชิงแนวคิดความเชื่อแบบสุดโต่ง ซึ่งจะควบคุมด้วยวาทกรรมของชาตินิยมมลายูปาตานีแบบสุดโต่ง และแนวคิดทางศาสนาหัวรุนแรง โดยใช้วาทกรรมการทำสงครามญิฮาดในศาสนาหล่อหลอมรวมกันเป็น อัตลักษณ์ปาตานี ที่เข้มข้นสุดโต่ง เพื่อควบคุมความคิดจนเป็นความเชื่อของมวลชนในพื้นที่แบบหยั่งรากลึก 2. องค์ประกอบเชิงโครงสร้าง มีโครงสร้างการจัดตั้งมวลชนพื้นฐานในการต่อสู้ในระดับหมู่บ้านอย่างลับๆ
และมวลชนเหล่านี้จะให้การสนับสนุนสมาชิกกลุ่มกองกำลังติดอาวุธ ปฏิบัติการก่อเหตุรุนแรง ให้สามารถอยู่รอดปลอดภัยจากการถูกไล่ล่าของเจ้าหน้าที่รัฐ โดยสามารถหลบพักอาศัยในหมู่บ้านได้อย่างปลอดภัยและสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระแบบปิดลับ ที่หน่วยงานความมั่นคงของรัฐมิอาจจะหาข่าวสารใดๆ ได้โดยง่าย และเพื่อใช้พื้นที่ลักษณะนี้ เป็นพื้นที่ปลดปล่อยจากอำนาจรัฐอย่างลับๆ ปิดบังอำพรางการเคลื่อนไหว ทั้งการวางแผนก่อเหตุร้าย การกำหนดเป้าหมายในการก่อเหตุรุนแรง รวมทั้งเป็นพื้นที่ในการระดมอาวุธยุทโธปกรณ์ในการก่อเหตุร้าย และการรวมกำลัง หากต้องการการปฏิบัติการขนาดใหญ่ที่ต้องกการทำลายเป้าหมายเข้มแข็งของรัฐ ทั้งเป็นพื้นที่ที่คอยให้การหลบหลีกหลีกหนี หลบซ่อน เมื่อการปฏิบัติการร้ายบรรลุเป้าหมาย
เหล่านี้คือยุทธศาสตร์การต่อสู้ของบรรดานักคิด นักวางแผนระดับมันสมองของขบวนการร้ายแห่งนี้ ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง พวกเขาพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการต่อสู้กับรัฐ หากพบว่า ยุทธศาสตร์เดิมนั้นเริ่มไม่ได้ผล แผนบันได 7 ขั้น ของขบวนการ อันเป็นยุทธศาสตร์เดิมของคนกลุ่มนี้ จึงต้องถูกถอดทิ้งไป และนำแนวทางเชิงยุทธศาสตร์เพื่อสร้างพื้นที่ปลดปล่อยจากอำนาจรัฐในแนวทางใหม่ ที่มุ่งเน้นการหล่อหลอมความคิด จนเป็นความเชื่อผ่านวาทกรรมทางศาสนาที่คนในพื้นที่มีความศรัทธาอย่างสูงเป็นทุนเดิม ให้เกิดคนกลุ่มใหญ่ในพื้นที่ที่เป็นมวลชนสำคัญในการเดินหน้าไปสู่การลงประชามติให้เป็นผลตามเป้าหมายสุดท้ายที่ต้องการคือการปกครองกันเอง ด้วยการตัดสินใจกันเองของคนในพื้นที่ ตามกติกาของสิทธิในการกำหนดใจตนเอง (RSD) ของคนในพื้นที่ และเมื่อถึงเวลานั้น กติกาสากลที่ประเทศมหาอำนาจ องค์กรระหว่างประเทศ จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือคนในพื้นที่ผ่านการบังคับให้รัฐ ยอมรับในการให้คนในพื้นที่ กำหนดใจตนเอง (RSD) ก็จะเป็นผล โดยการสร้างพื้นที่ปลดปล่อยจากอำนาจรัฐ ทั้งทางความคิด จิตวิญญาณ และทางกายภาพของคนในขบวนการแห่งนี้