ในโลกทุกวันนี้อะไร ๆ ก็สามารถเกิดขึ้นได้ ชาวไทยตื่นเต้นกับเหตุการณ์วางระเบิดในโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า และพร้อมใจกันประณาม แต่ขอพูดตรง ๆ ว่า การประณามนั้นหยุดยั้งการก่อการร้ายไม่ได้หรอก
แน่นอนว่าเราควรเรียกพฤติกรรมอย่างนี้ว่าการก่อการร้าย
แต่คนที่ก่อการร้ายก็มีหลายพวก และหลากหลายความต้องการ เมื่อเน้นการป้องกันไปที่กลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ก็อาจจะมีคนอีกหลายกลุ่มพยายามก่อการร้ายแบบอื่นอีก
และความเป็นจริงก็คือ แม้ฝ่ายป้องกันจะทำงานเต็มที่อย่างไร ฝ่ายจ้องหาจังหวะทำร้ายก็อาจจะทำสำเร็จจนได้ในบางโอกาส
จึงถึงเวลาที่คนไทยต้องทบทวนความคิดกันถ้วนหน้า ว่าหากปล่อยให้ความขัดแย้งทางสังคมพัฒนาบานปลายกลายเป็น “ความขัดแย้งที่เป็นปฏิปักษ์” มากขึ้น เมืองไทยก็จะไม่มีสันติสุขอีกต่อไป เพราะเมื่อความขัดแย้งพัฒนาถึงขั้นความเป็นปฏิปักษ์แล้ว การแก้ไขความขัดแย้งนั้นและการฟื้นฟูบรคณะจิตใจของพลเมืองและสภาพบ้านเมืองจะต้องใช้เวลาเป็นทศวรรษทีเดียว
มีตัวอย่างในบางประเทศเช่นปากีสถาน เคยเกิดเหตุการณ์คาร์บอมบ์ระเบิดโรงพยาบาล มีคนเจ็บคนตายถึงเจ็ดสิบกว่าคนมาแล้ว และในประเทศที่มีสงครามกลางเมือง เคยเกิดเหตุเครื่องทิ้งระเบิดผิดที่ ทิ้งใส่โรงพยาบาลมาแล้ว ดังนั้นพึงยอมรับเถิดว่า ในภาวะสงครามที่มีความขัดแย้งแบบปฏิปักษ์นั้น อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้ “ป้ายกาชาด” นั้นป้องกันการโจมตีมิได้หรอก
ไม่ว่าการระเบิดโรงพยาบาลพระมงกุฎจะเกิดจากฝีมือกลุ่มใด มันก็เป็นเรื่องทางการเมืองแน่นอน และสุดท้ายไม่ว่าฝ่ายไหนจะได้บรรลุเป้าประสงค์ของฝ่ายตน ความสงบสุขก็ไม่มี
เช่นสมมติ เน้นว่าสมมติ วางระเบิดเพื่อสั่นคลอนรัฐบาลสร้างเงื่อนไขให้รัฐบาลล้ม รัฐบาลก็ต้องปราบรุนแรงขึ้น ความเป็นปฏิปักษ์กันในสังคมก็จะมากขึ้น การก่อการร้ายก็จะเกิดบ่อยขึ้นและแรงขึ้น หรือถ้ารัฐบาลนี้ล้มไป โดยความเป็นปฏิปักษ์กันในหมู่ประชาชนยังคงแรงอยู่ ความขัดแย้งก็ยังจะขยายตัวต่อไปอีก
หรือสมมติว่า การวางระเบิดเกิดจากการต่อสู้ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนนั้นก็จะยิ่งเพิ่มความรุนแรง และความเสียหายต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์มากขึ้นอีก ไม่ใครชนะ มีแต่ผู้เสียหาย
อย่างไรก็ตาม เราจะเทศนาให้บุคคลที่คิดก่อการร้ายด้วยความรุนแรง ล้มเลิกความคิดเสีย มันก็คงเป็นไปได้ยาก คนที่ลุ่มหลงในอวิชชาความหลงผิด เห็นผิดเป็นชอบ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เชื่อเสียแล้วว่า การต่อสู้ของตนที่มุ่งหวังทำลายรัฐ หรือทำลายกลุ่มผู้กุมอำนาจรัฐที่ตนรังเกียจนั้น เป็นการต่อสู้ที่ถูกต้องเป็นธรรม คงจะเปลี่ยนความคิดได้ยาก
บุคคลเหล่านั้นเป็นเพียงคนส่วนน้อยในสังคมเท่านั้น พลังอำนาจในสังคมนั้นอยู่ที่มวลมหาชนที่รักความสงบสันติสุข ที่อดทนยอมรับการแก้ไขพัฒนาสังคมไปตามภาวะวิสัย ไมใจร้อน ดึงต้นกล้าให้โต คนเหล่านี้เป็นพลังเงียบ และมีข้ออ่อนอยู่ที่มักจะวางเฉย
แต่ต่อไปนี้ คนเหล่านั้นจะตื่นตัวขึ้นมาแสดงบทบทปกป้องตัวเองและสังคมมากขึ้นเรื่อย ๆ