แสงไทย เค้าภูไทย
คำว่าภูมิคุ้มกันหมู่กำลังได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นไปได้แค่ไหน จากการกลับมาระบาดใหม่ในจีนและหลายๆประเทศ แต่ที่เป็นความหวังที่สุดยังคงเป็นวัคซีน ที่ไทยสร้างโรงงานผลิตมูลค่า 2 พันล้านแต่ยังไม่ปรากฏผลงาน
ภูมิคุ้มกันหมู่ (Herd immunity) หรืออีกชื่อภูมิคุ้มกันประชาคม (Community Immunity)เป็นที่กล่าวถึง กล่าวอ้างกันหนาหูในยุโรปในช่วงต้นๆของการระบาดไวรัสโควิด-19 โดยเชื่อว่าจะเป็นกำแพงปิดล้อมประชาคมปกป้องให้พ้นจากการโจมตีของไวรัสและโรคอุบัติใหม่จากการติดเชื้ออื่นๆ(infections)
แต่ต่อมาเมื่อการระบาดรุนแรงขึ้น จนการแพทย์ตกอยู่ในสภาพ “รับไม่ไหว” ภูมิคุ้มกันหมู่ก็เลือนหายไป โดยคิดว่า มันช่วยไม่ได้กับการป้องกันการแพร่ระบาดขนานใหญ่(pandemic)
ภูมิคุ้มกันหมู่ หมายถึงสัดส่วนของประชากรมีภูมิคุ้มกันในสถานการณ์หนึ่งโดยเป็นภูมิคุ้มกันที่ร่างกายมีอยู่หรือสร้างขึ้นเองตามธรรมชาติหรือด้วยการได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรค มีความเข้มแข็งมากพอที่จะระงับการแพร่ระบาดของไวรัสได้
ภูมิคุ้มกันหมู่มี 2 แบบ คือแบบที่ 1 ร่างกายผู้ป่วยสร้างขึ้นมาเองเพื่อต่อสู้เชื้อไวรัสจนหายเป็นปกติ ไม่กลับมาเป็นอีก ดังเช่นพลาสม่าที่มีอยู่ในร่างกายของผู้หายป่วยที่สามารถนำมาใช้ฉีดป้องกันหรือรักษาผู้ป่วยใหม่
แบบที่ 2 คือภูมิคุ้มกันที่เกิดจากการรับวัคซีนของคนในพื้นที่นั้นๆจนมีภูมิคุ้มกันกันจำนวนมาก จนไม่มีใครป่วยอีก เมื่อไม่มีคนติดเชื้อไวรัส ไม่ป่วย ก็ไม่มีการแพร่เชื้อไวรัสไปสู่ผู้อื่นๆ ทำให้ไม่เกิดการแพร่ระบาด ในที่สุดมันก็จะหายไปเอง
สัดส่วนของภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสที่มีอยู่ในชุมชนหรือประชาคมจะต้องมี 60% ขึ้นไป
แต่สำหรับบางโรค จะต้องมีสัดส่วนที่สูงกว่า เช่น โรคหัดต้องมี 95% โปลิโอต้องมี 80% เป็นต้น
การที่กำหนดให้สัดส่วนภูมิคุ้มกันสำหรับไวรัสโควิด-19 นั้น เกิดจากประมาณการของนายแพทริก วัลแลนซ์ หัวหน้าคณะที่ปรึกษาทางวิทยาศาสตร์ของอังกฤษ ที่กล่าวว่า รัฐบาลควรปล่อยให้การระบาดของโควิด-19 ยืดยาวออกไปให้นานที่สุด จนประชากรติดเชื้อแล้วรักษาหายมีสัดส่วน 60% ของประชากรทั้งหมด
คนที่หายป่วย 60% ของประชากรชุมชน จะมีภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ กลายเป็น Herd immunity ที่ช่วยปกป้องคนที่ไม่มีภูมิคุ้มกันจากไวรัสโดยอัตโนมัติ
เมื่อไม่มีคนป่วยหรือคนติดเชื้อ การแพร่เชื้อจากคนสู่คนก็ยุติลง และหายไปในที่สุด
มีความเป็นไปได้กับทฤษฎีภูมิคุ้มกันหมู่นี้ ซึ่งทางการแพทย์ก็มีการนำน้ำเหลืองหรือพลาสม่าของคนที่หายป่วยจากการติดเชื้อไวรัสมาฉีดเสริมภูมิต้านทานไวรัสเช่นกัน
ไม่ต่างไปจากการฉีดวัคซีน ซึ่งขณะนี้กำลังมีการคิดค้น ทดลองกันอย่างขะมักเขม้น ทั้งในจีน ยุโรปและอเมริกา
ส่วนของไทย ยังคงหวังพึ่งจีนกับญี่ปุ่นเท่านั้น ทั้งๆที่เรามีโรงงานผลิตวัคซีนค่าก่อสร้างและติดตั้งเครื่องจักร อุปกรณ์กว่า 2 พันล้านบาท ที่จนบัดนี้ยังไม่มีคำตอบใดๆจากบรรดา “ตระกูลส.”
สำหรับวัคซีนที่กำลังทำวิจัยกันถึงเฟส 3 คือทดลองในคนระดับคลินิกแล้วนั้น กว่าจะใช้ได้ก็ราว 12 เดือนข้างหน้า และกว่าจะได้ใช้ก็ราว 18 เดือนข้างหน้า
เพราะต้องประเมินผล แล้วผ่านการตรวจสอบเพื่อขออนุมัติจากองค์การอาหารและยาของแต่ละประเทศเสียก่อน
อย่างไรก็ดี ในสถานการณ์ระบาดที่รุนแรงที่สหรัฐและอังกฤษ ขณะนี้ มีการขออนุมัติฉุกเฉินแล้วหลายราย ที่คาดว่าจะนำออกใช้ได้ในราวกลางเดือนมิถุนายนนี้
แต่จากทฤษฎีภูมิคุ้มกันหมู่ ก็น่าจะประเมินได้ว่า การระบาดน่าจะสิ้นสุดลงในราวต้นไตรมาสที่ 3 ราว กรกฏาคม-สิงหาคม
เหตุผลคือ คนที่ป่วยแล้วตาย ก็ตายกันไป คนที่หายก็หายกันไป
คนที่หายป่วยก็จะไม่ป่วยอีก เพราะมีภูมิคุ้มกันที่สร้างภูมิต้านทาน (antibody) ออกมาสู้กับไวรัสจนไวรัสถูกกำจัดไปแล้วอยู่ในตัว
ส่วนคนที่อยู่ คือคนที่มีภูมิคุ้มกันแข็งแรง กับคนที่รักษาเนื้อรักษาตัวไม่ไปรับเชื้อ ก็อยูดีมีสุขภาพ
เมื่อเชื้อไม่สามารถแพร่หรือถ่ายทอดจากคนสู่คนได้ ในที่สุดก็จะหายไปตามทฤษฎีที่นายวัลแลนซ์เอ่ยอ้าง
เป็นไปได้แค่ไหน ?
ต้องศึกษาจีน ซึ่งมีการกลับมาของ 2 nd wave ของการระบาดอีกครั้ง ดูว่าภูมิคุ้มกันหมู่จะทำงานได้ผลตามทฤษฎีหรือไม่