ข้อเสนอของ " 6 พรรคร่วมฝ่ายค้าน" จะมีความหมาย มากพอที่จะทำให้ "รัฐบาล" ยอมให้ไฟเขียว ยอมให้เปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยวิสามัญ เพื่อรับทราบ พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ.2563 ตามที่ร้องขอ จนเริ่มกลายเป็น "แรงกดดัน" หรือไม่ ยังต้องรอลุ้นในวันนี้ (27เม.ย.63) ว่าที่สุดแล้วในการประชุมคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล)จะมีผลออกมาในทิศทางเช่นใด
ตลอดหลายวันที่ผ่านมา น่าสนใจว่าได้เกิดความเคลื่อนไหวของ "พรรคร่วมฝ่ายค้าน" ที่ต่อเนื่อง และเริ่มทวีความเข้มข้นมากขึ้น นั่นคือการออกมากดดันให้มีการเปิดประชุมสภาฯ สมัยวิสามัญ เพื่อพิจารณาประเด็นที่ฝ่ายค้านเห็นว่า เป็น "เรื่องด่วน" และมีความสำคัญ
นั่นคือ การเปิดประชุมสภาฯเพื่อให้มีการพิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาไวรัสโควิด-19 และการเสนอให้มีการใช้ พ.ร.ก.กู้เงิน ว่ามีประสิทธิภาพหรือไม่
และดูเหมือนว่าจากเสียงเรียกร้อง ได้กลายเป็น "แรงกดดัน"เมื่อพรรคร่วมฝ่ายค้านมีมติ ยื่นหนังสือไปถึง "บิ๊กตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และในฐานะ "ผู้อำนวยการ ศบค." ขอให้เปิดประชุมสภาฯ
แม้การขยับของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา แทบไม่ได้รับความสนใจในช่วงแรก ด้วยเหตุที่เวลานี้ทุกกิจกรรม ไม่สามารถดำเนินการใดๆได้ เพราะอยู่ในช่วงของการบังคับใช้ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่ออกมาตรการและมีข้อห้าม ดังนั้นจึงกลายเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ฝ่ายรัฐบาล หยิบยกขึ้นมาเพื่อหักล้าง สิ่งที่ฝ่ายค้านเรียกร้องให้เปิดประชุมสภาฯ สมัยวิสามัญ
ข้อเรียกร้องของพรรคร่วมฝ่ายค้านทั้ง 6พรรคที่ต้องการใช้เวทีสภาฯเพื่อยื่นข้อเสนอแนะ และ "ข้อสังเกต" ในการใช้งบประมาณ ไปกับการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด ทั้งที่มีขึ้นมาก่อนหน้านี้ จนถึงการออก พ.ร.ก.กู้เงิน
และยังต้องไม่ลืมว่า ประเด็นใหญ่ที่ฝ่ายค้านกำลังกดดัน อย่างหนัก นั่นคือการพิจารณาว่ารัฐบาลจะต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน อีกหรือไม่ เมื่อครบกำหนดในวันที่ 30 เม.ย.นี้ไปแล้ว
ปัญหาของพรรคฝ่ายค้านดูเหมือนว่ายังไม่จบลงเพียงแค่การออกแรง ส่งเสียงเรียกร้องไปยังรัฐบาล เพราะในความเป็นจริงแล้ว "นอ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ" เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ได้ออกมาระบุแล้วว่า การขอเปิดประชุมสมัยวิสามัญของสภาฯ จำเป็นต้องใช้เสียง ส.ส.หนึ่งในสาม หรือ 246 เสียง ขณะที่ฝ่ายค้านมี 213 เสียง จำเป็นต้องขอเสียงส.ส.ฝ่ายรัฐบาลและ ส.ว.อีก 33 เสียง
เมื่อเกมนี้ ดูเหมือนว่าฝ่ายค้านต้อง "ออกแรง" มากขึ้น เพราะต้องไปร้องขอ เสียงจาก ส.ส.จากปีกรัฐบาลแล้ว ยังต้องประสานความร่วมมือไปยัง "ส.ว." อีก ซึ่งล้วนแล้วแต่ มีความเป็นไปได้ "น้อยมาก" เพราะหากย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ ทั้ง ส.ส.และ ส.ว.ที่ล้วนแล้วแต่สังกัดใต้เงารัฐบาล ต่างประสานเป็นเสียงเดียวกัน ว่า ไม่เอาด้วย ไม่เห็นด้วย
และยิ่งน่าสนใจไปกว่านั้น ยังต้องลุ้นกันในช็อตต่อไปด้วยว่า ในวันที่ 28 เม.ย.นี้ รัฐบาลจะพิจารณาเรื่องต่ออายุพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ออกไปจนถึงวันไหน และจะเพิ่มความข้นของมาตรการใดๆ ขึ้นมาอีกหรือไม่ นาทีนี้ เสียงของพรรคร่วมฝ่ายค้าน อาจจะยังดังไม่พอ ก็เป็นไปได้ !