ศ.ดร.ลิขิต ธีรเวคิน, ราชบัณฑิต
สังคมทุกสังคมจะต้องมีวิธีการดำรงชีวิตในหลายมิติ และในมิติต่างๆ ส่วนใหญ่อยู่ภายใต้การกำกับของวัฒนธรรม ซึ่งเป็นค่านิยม ความเชื่อ ส่งผลต่อแบบกระสวนของพฤติกรรมมนุษย์ ส่วนอีกมิติหนึ่งมนุษย์ไม่สามารถจะหลีกหนีจากวิทยาการที่เรียกว่าเทคโนโลยีได้ เริ่มตั้งแต่สมัยล่าสัตว์และเก็บเกี่ยวก็ต้องมีเทคโนโลยี อันได้แก่ อาวุธและเครื่องมือในการล่าหาอาหาร วัฒนธรรมและเทคโนโลยีมีความเกี่ยวพันซึ่งกันและกัน วัฒนธรรมบางวัฒนธรรมไม่เอื้ออำนวยต่อการรับเทคโนโลยีใหม่ๆ เทคโนโลยีบางเทคโนโลยีก็ไม่สามารถปรับใช้กับบางวัฒนธรรมได้เพราะไม่มีความสามารถในการรับ (absorptive capacity) ปรากฏการณ์สองปรากฏการณ์จึงมักเกิดขึ้นเสมอในสังคมมนุษย์ นั่นคือ การตกหลังทางวัฒนธรรม (culture lag) และการตกหลังทางเทคโนโลยี (technology lag) สังคมใดที่เผชิญกับสองปรากฏการณ์ดังกล่าวอาจยากต่อการที่จะพัฒนาสังคมให้ก้าวหน้าไปได้ เพราะไม่สามารถจะทันกับกระแสของวัฒนธรรมใหม่ๆ ซึ่งเป็นแนวโน้มของโลก ขณะเดียวกันอาจจะขาดความรู้ความสามารถในการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ เมื่อเป็นเช่นนี้ตัวแปรสองตัวจึงกลายเป็นตัวแปรที่นำไปสู่อุปสรรคการมองปัญหา การพยายามแก้ปัญหาและพัฒนาสังคม
ในยุคอารยธรรมคลื่นลูกที่สามซึ่งเป็นอารยธรรมข่าวสารข้อมูล ในบางสังคมเนื่องจากค่านิยมและทัศนคติซึ่งจัดตั้งสถาบันอย่างแข็งขันอยากต่อการปรับตัว อาจมีสภาพที่เรียกว่า การตกหลังทางวัฒนธรรม เป็นต้นว่า วัฒนธรรมในความสัมพันธ์ของมนุษย์ซึ่งกำลังกลายเป็นวัฒนธรรมสากลมากยิ่งขึ้น มีหลายสิ่งหลายอย่างจะถือเป็นการปฏิบัติหรือแบบกระสวนของพฤติกรรม และถ้าไม่ทำตามวัฒนธรรมดังกล่าวอาจจะนำไปสู่การปะทะสังสรรค์ระหว่างบุคคลมีปัญหาได้ ตัวอย่างเช่น ในวัฒนธรรมตะวันออกนิยมการถามเรื่องส่วนตัวเพื่อแสดงให้เห็นถึงความสนิทสนม ความสนใจและการเอาใจใส่ต่อคนที่มีความสัมพันธ์ แต่วัฒนธรรมตะวันตกซึ่งกำลังเป็นวัฒนธรรมสากล การถามเงินเดือนเป็นเรื่องส่วนตัวนอกจากเป็นคนสนิทกันจริงๆ ถือเป็นการละเมิดต่อความเป็นส่วนตัวของบุคคลอื่น ในส่วนนี้ถือว่ามีการตกหลังทางวัฒนธรรม บางครั้งก็เกิดจากความไม่เข้าใจนำเอาวัฒนธรรมของสังคมของตนไปใช้กับวัฒนธรรมสากลที่ไม่มีการปฏิบัติดังกล่าว เช่น วัฒนธรรมการดื่มไวน์เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องละเมียดละไม พยายามศึกษาถึงกลิ่นและรสชาติ ค่อยๆ จิบทีละน้อย แต่วัฒนธรรมจีนมีการนิยมยกแก้วไวน์ดื่มหมดทั้งแก้วที่เรียว่า กันเปย หรือคว่ำแก้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่วัฒนธรรมดั้งเดิมวิธีการดังกล่าวจะไม่มีการปฏิบัติกันในการดื่มไวน์
แต่ที่สำคัญ ในหลายวัฒนธรรมไม่ให้น้ำหนักต่อการตรงต่อเวลา เมื่อมีการกำหนดเวลาที่แน่นอนส่วนมากจะมาสายบางครั้งเป็นชั่วโมง โดยไม่มีความรู้สึกว่าเป็นการกระทำที่ไม่ควรและไม่ถูกต้อง และที่สำคัญ เมื่อการประชุมหรือการศึกษาเล่าเรียนกำลังดำเนินอยู่ ผู้มาสายแทนที่จะมีมารยาทในการเข้ามาอย่างเงียบๆ ไม่รบกวนผู้อื่น กลับมีการทักทาย ไหว้ หรือส่งเสียง จนทำให้เกิดสภาพที่เรียกว่า “วงแตก” ซึ่งถือเป็นวัฒนธรรมที่ใช้ไม่ได้ และเป็นการตกหลังวัฒนธรรมอย่างเห็นได้ชัด ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น วัฒนธรรมบางอย่างเป็นวัฒนธรรมที่นำไปสูการปฏิบัติของสังคมจนกลาเยป็นการปฏิบัติทั่วๆ ไป เช่น การศึกษาโดยใช้วิธีท่องจำตอบตามที่อาจารย์สอนมา หรือตามตำรา ซึ่งการศึกษาดังกล่าวนั้นเป็นการศึกษาในลักษณะแบบดั้งเดิมที่ผู้สอนเป็นผู้รู้ และต้องการให้ผู้เรียนรู้สิ่งที่ตนรู้โดยไม่ต้องคิดตั้งคำถามหรือสงสัย ซึ่งวิธีการสอนดังกล่าวนี้ปัจจุบันจะไม่ปฏิบัติในหลายสังคมที่มีการพัฒนา จะต้องมีการสอนให้รู้จักคิด วิเคราะห์ สังเคราะห์ เข้าลักษณะกามาลสูตรของพระพุทธศาสนา แต่ในหลายสังคมโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชียและประเทศไทยก็ยังมีวัฒนธรรมการศึกษาแบบท่องจำโดยไม่คิด จุดมุ่งเน้นอยู่ที่จำได้เพื่อจะสอบผ่าน แทนที่จะหัดคิดเอง ใช้ความคิดในการวิเคราะห์ สงสัยในประเด็นต่างๆ ในส่วนนี้ถือเป็นการตกหลังทางวัฒนธรรมในการเรียนการสอนอย่างมหันต์ ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ กระบวนการเลี้ยงดูบุตรหลานโดยพ่อแม่ และในระบบการศึกษาชั้นประถม มัธยม รวมแม้กระทั่งมหาวิทยาลัย ก็ไม่นิยมให้มีการคิดต่าง ตั้งคำถามหรือถกเถียง โดยอาจจะมองว่าเป็นการท้าทายและไม่เคารพครูบาอาจารย์ ซึ่งถือว่าเป็นการตกหลังวัฒนธรรมอย่างมาก ในสภาพดังกล่าวนี้จึงมีนัยอย่างสำคัญต่อการมองปัญหา พิจารณาวิธีการแก้ปัญหา และการวางพื้นฐานสำหรับการพัฒนา การตกหลังทางวัฒนธรรมจึงเป็นปรากฏการณ์ที่สำคัญที่ไม่ควรมองข้าม
ส่วนการตกหลังทางเทคโนโลยี (Technology lag) ก็คือการที่ในสังคมอื่นที่มีการพัฒนาค้นพบทางวิทยาศาสตร์และการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ในการทำงานภาครัฐ ภาคเอกชน รวมทั้งเพื่อการเรียนการสอน เพื่อการดำรงชีวิต เช่นในคลื่นลูกที่สามเทคโนโลยีสำคัญคือเทคโนโลยีข่าวสารข้อมูลและการสื่อสาร ซึ่งต้องใช้เครื่องมืออันทันสมัย อันได้แก่ สมองกล เว็บไซต์ อินเตอร์เน็ต โทรศัพท์มือถือ ไอแพด เท็บเล็ต เทคโนโลยีเหล่านี้มีส่วนช่วยทำให้อัตราการทำงานเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว และสามารถจะมีขอบข่ายที่กว้างขวาง การสั่งงานของบริษัททำได้จากรถยนต์ ขณะเดียวกันการรับข่าวสารข้อมูลรับได้ตลอดเวลาในมิติต่างๆ จากการเข้าถึงแหล่งของข่าวสาร นอกเหนือจากนี้ยังใช้ความรู้ทางเทคโนโลยีดังกล่าวทำให้กิจกรรมต่างๆ สามารถดำเนินไปได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล แต่ในสั
คมคนบางคนบางกลุ่มอาจจะกลายเป็นผู้ซึ่งเข้าลักษณะไม่รู้หนังสือ (illiterate) ในทางเทคโนโลยี ไม่สามารถจะใช้ได้อย่างคล่องแคล่ว และไม่สามารถแก้ปัญหาเมื่อเผชิญกับอุปสรรค และที่สำคัญ อาจจะไม่เข้าใจศัพท์ทางเทคนิคของเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี การกระทำกิจกรรมต่างๆ การบริหารบ้านเมือง การจัดการสำนักงาน การประกอบธุรกิจ ฯลฯ ยังเป็นแบบดั้งเดิม ซึ่งเป็นการตกยุคอย่างยิ่งเนื่องจากคนในวัฒนธรรมดั้งเดิมนั้นไม่มีความสามารถในการรับเทคโนโลยีของยุคใหม่ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือเป็นการตกหลังทั้งวัฒนธรรมและเทคโนโลยี ซึ่งถือเป็นจุดอ่อนคู่แฝดของสังคมนั้นๆ นอกเหนือจากนั้นยังจะนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำระหว่างคนในสังคม ระหว่างกลุ่มคนที่มีวัฒนธรรมแบบใหม่และเทคโนโลยีแบบใหม่ กับคนที่ตกหลังทางวัฒนธรรมและตกหลังทางเทคโนโลยี จนบางครั้งเกิดความไม่ลงรอยทางความคิด โดยเฉพาะในการมองปัญหา ในการวิเคราะห์ปัญหา ในการแก้ปัญหา รวมทั้งการวางแผนเพื่อพัฒนาประเทศ
สิ่งที่ตามมาก็คือ ในกรณีที่คนกลุ่มที่ยังจมปรักอยู่กับวัฒนธรรมและเทคโนโลยีแบบเก่าซึ่งย่อมจะมีความคิดแบบล้าสมัย ตกยุค มีพฤติกรรมที่ผิดรูปผิดฝา เข้ามามีส่วนในการปกครองบริหารบ้านเมือง
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นก็คือ
1. จะแสดงความไม่เข้าใจต่อสภาพแวดล้อมทั้งภายในและนอกประเทศ
2. จะมีการมองปัญหาและวิธีการแก้ปัญหาที่ผิดยุคสมัย
3. จะนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดระหว่างกลุ่มที่เรียกว่า “คนรุ่นเก่า” ซึ่งหมายถึงผู้ซึ่งมีวัฒนธรรมแบบดั้งเดิม มองคนไม่เสมอภาคซึ่งขัดกับเทคโนโลยีสังคม (social technology) แบบใหม่ที่มุ่งเน้น
เรื่องประชาธิปไตย สิทธิเสรีภาพและความเสมอภาค
นี่คือตัวอย่างของความตึงเครียดและความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้นในสังคมเมื่อคนบางกลุ่มตกหลังทางวัฒนธรรมและตกหลังทางเทคโนโลยี สังคมนั้นก็อาจจะขับเคลื่อนไปข้างหน้าโดยมีอุปสรรคมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากกลุ่มที่เป็นอนุรักษ์นิยม (conservative) หรือกลุ่มปฏิบัติการ (reactionary) ทั้งหมดนี้คือปรากฏการณ์ที่อยู่ในหลายสังคมปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสังคมที่ใกล้ตัวที่สุด