ศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ “นายกรัฐมนตรี” กับอีก “5 รัฐมนตรี” ปิดฉากลงไปแล้ว ด้วยการที่รัฐบาลเป็นฝ่ายกุมชัยชนะเมื่อ ผลการลงมติจากที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 28 ก.พ.63ที่ผ่านมา ได้ให้ความไว้วางใจทั้ง “นายกฯ” และอีก “5รัฐมนตรี” ด้วยเสียงข้างมาก
มิหนำซ้ำยังถือเป็นโอกาสอันดีที่จะเปิดตัว “งูเห่า” จากพรรคฝ่ายค้าน ว่าใคร “เทใจ” สนับสนุนรัฐบาลโดยเปิดเผย
แต่สำหรับการเมือง “นอกสภาฯ” ดูเหมือนเพิ่งเริ่มต้น เปิดฉากขึ้นเพียงตอนแรกเท่านั้น !
เมื่อเวลานี้นักเรียน นิสิต นักศึกษาตามสถาบันการศึกษาต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ ขยายไปยังต่างจังหวัดได้พากันออกมาเคลื่อนไหวชุมนุม ขับไล่รัฐบาล ที่มี “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ทำหน้าที่เป็น “กัปตัน” อยู่บน “เรือเหล็ก” อย่างดุเดือด !
ภาพการจัดกิจกรรม จากที่เริ่มใช้วิธีการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ ได้ยกระดับไปสู่การชุมนุมจัดปราศรัยวิพากษ์วิจารณ์ โจมตีรัฐบาล พร้อมตะโกนขับไล่ “ประยุทธ์ ออกไป” หรือ ประกาศ “เผด็จการจงพินาศ” กันอยู่ทุกวัน และดูเหมือนว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักเรียน นักศึกษาที่ออกมาต่อต้านรัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ จะไม่กลัวการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เสียด้วยซ้ำ
หลายฝ่ายเริ่มกังวลว่าการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาล ขับไล่พล.อ.ประยุทธ์ ของนักศึกษาที่กำลังลุกลามไปทั่วประเทศ เวลานี้จะก้าวไปสู่ขั้นรุนแรง ซ้ำรอยกับเหตุการณ์ 14ตุลา ได้หรือไม่ เพราะนี่คือการใช้สูตรสำเร็จ ที่ว่าการขับไล่เผด็จการต้องอาศัยพลังของนักศึกษา
แม้จะมีแกนนำนักศึกษา ไปจนถึงนักการเมืองหลายคนออกมาปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปลุกระดมแต่อย่างใดก็ตาม แต่ขณะเดียวกัน ย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่า แนวร่วมในการชุมนุมก็ล้วนแล้วแต่เป็นพันธมิตรร่วมกับนักการเมือง โดยเฉพาะอดีตพรรคอนาคตใหม่นั่นเอง
อย่างไรก็ดี การรับมือกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักศึกษา สำหรับฝ่ายรัฐบาลที่มีกลไก คือ “ฝ่ายความมั่นคง” ทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหาร ในมืออยู่พร้อมสรรพก็ตาม แต่ใช่ว่า จะใช้วิธีการ “กระชับพื้นที่” เหมือนกับที่เคยดำเนินการยุติความวุ่นวายการชุมนุมของกลุ่มเสื้อสี มาแล้วในอดีตได้ เพราะหากเกิดความรุนแรงบานปลายขึ้นมา แน่นอนว่า “สถานการณ์” ดังกล่าวจะถูกนำมาใช้เป็น “เงื่อนไข” ของการจุดพลุ ความขัดแย้ง ขึ้นชนิดที่เรียกว่าเต็มรูปแบบ และมีความชอบธรรมมากยิ่งขึ้น