ดร.วิชัย พยัคฆโส
[email protected]
โลกสะเทือนอีกครั้งกับกรณีพิพาทระหว่างสหรัฐกับอิหร่าน นอกเหนือจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนแล้ว ส่งผลให้น้ำมันดิบราคาพุ่งสูงขึ้น และอาจจะสูงขึ้นเรื่อยๆไปจนถึง 100 เหรียญต่อบาร์เรลก็ได้ เหลือที่จะคาดเดา
ข้อพิพาทระหว่างสหรัฐกับอิหร่านเที่ยวนี้ ส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจไปทั่วโลก เพราะราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นไปกระทบกับระบบเศรษฐกิจของแต่ละประเทศไปด้วย โดยเฉพาะกับประเทศไทยที่เป็นลูกค้าน้ำมันจากกลุ่มประเทศนี้ แม้ว่ารัฐบาลจะยืนยันว่ายังไม่ถึงขั้นรุนแรง สามารถรับมือได้ก็ตาม แต่ได้ส่งกระทบอีกแรงในระบบเศรษฐกิจของประเทศ นอกเหนือจากการส่งออกของไทย
แม้ว่าร่าง พรบ. งบประมาณ พ.ศ.2563 จะผ่านวาระ 2-3 ไปแล้วค่อนข้างดุเดือดก็ตาม และแม้ว่าจะถูกตัดงบประมาณบางส่วนออกไปบ้าง ก็ยังพอให้รัฐบาลได้ใช้งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจได้อีกฮือกใหญ่ๆได้บ้าง จากนี้คงต้องลงแรงช่วยกันดึงเศรษฐกิจมิให้ลดต่ำลงไปจากนี้อีก
จริงอยู่รัฐบาลจะถูกซักฟอกในเดือนหน้าก็ตาม คงเอาตัวรอดได้อีกครั้ง เพราะเสียงรัฐบาลเพิ่มขึ้นอีกหลายเสียงไม่ปริ่มน้ำแล้ว และประเด็นที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจยังไม่ใช่ประเด็นหลักที่เป็นผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติที่สำคัญ รัฐบาลคงเร่งรัดนโยบายแก้ปัญหาภัยพิบัติของประเทศ คือ ภัยแล้ง กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก และลงทุนในโครงการ EEC เพื่อสร้างผลงานและเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจในอนาคต
สำหรับวิกฤติภัยแล้งปีนี้ที่รุนแรงตั้งแต่ต้นฤดูเป็นเวลาถึง 4 เดือน ขาดน้ำกันหลายจังหวัด รวมถึงกรุงเทพมหานคร ที่น้ำประปายังเป็นปัญหาความเค็มและเป็นผลต่อการเพาะปลูกอีกด้วย เรื่องนี้รัฐบาลได้ทุ่มงบประมาณเพิ่มเติมอีก 3,079 ล้านบาท เพื่อแก้วิกฤติน้ำ
แนวทางการแก้ไขภัยแล้งประกอบไปด้วย การขุดเจาะน้ำบาดาลในภูมิภาคต่างๆ ซ่อมแซมระบบประปาภูมิภาคและจัดหาแหล่งน้ำเพิ่มเติม เช่น การขุดบ่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ เชื่อว่าคงบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน โดยเฉพาะเกษตรกรในภูมิภาคได้บางส่วน
แนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพและช่วยเหลือชาว SMEs อนุมัติงบประมาณอีก 3.8 แสนล้าน ประกอบไปด้วย SMEs ที่ต้องการสภาพคล่องทางการเงิน 3 โครงการใหญ่ เงิน 80,000 ล้านบาท และโครงการเสริม SMEs ที่มีศักยภาพ สร้างความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น และ SMEs ที่จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือโดยด่วน ทั้งนี้เพื่อให้ SMEs สามารถพยุงสถานะภาพและเพิ่มประสิทธิภาพในยุคเศรษฐกิจชะลอตัว
ทางด้านการลงทุนในการประกอบกิจการใหม่พุ่งสูงขึ้นในปี 2562 ถึง 4.83 แสนล้าน ด้วยการเปิดกิจการและขยายกิจการถึง 4,379 โรงงาน จ้างงาน 2.07 แสนคน สำหรับใน EEC เปิดกิจการใหม่และขยายกิจการใหม่ 550 โรงงาน เงินลงทุน 1.11 แสนล้าน จ้างงาน 2.78 หมื่นคน เท่ากับว่ากิจการเปิดใหม่มีมากกว่าการปิดกิจการ จึงไม่น่าเป็นห่วง
จากนโนบายและการลงทุนของรัฐบาลและของเอกชนในโครงการใหญ่ๆเช่นนี้ พอจะเบาใจได้ว่าเศรษฐกิจยังคงพอเดินต่อไปได้ด้วยมาตรการของรัฐบาลเช่นนี้ แม้ว่าเงินบาทจะแข็งค่าก็ตามที เพียงแต่ขออย่าให้น้ำมันพุ่งสูงถึง 100 เหรียญ/บาร์เรล เท่านั้น รัฐบาลไทยยังคงเดินทางต่อไปได้ด้วยความมั่นใจ
รัฐบาลพยายามประคับประคองประเทศให้มีเสถียรภาพทีมั่นคง หากรัฐบาลยังคงไม่พะวงต่อการเมืองนอกสภา และเดินลุยหน้าพัฒนาประเทศต่อไป เพียงแต่ประชาชนอย่าตกใจไปกับสภาวะการณ์ภายนอกประเทศ และร่วมกันยึดมั่นในชาติ ศาสนา และ พระมหากษัตริย์ไว้เท่านั้น