เสือตัวที่ 6 การก่อเหตุร้ายเมื่อวันที่ 4 ม.ค.63 ที่ผ่านมา โดยการที่กลุ่มคนร้าย จำนวน 5-6 คน ใช้อาวุธสงครามยิงใส่ป้อมรักษาการณ์ บริเวณหน้าค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ หรือ ค่ายปิเหล็ง ตำบลมะรือโบออก อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส โดยกลุ่มคนร้ายได้ปล้นรถกระบะตอนเดียว สีบรอนซ์เงิน ซึ่งแล่นมาจากจังหวัดปัตตานี เข้าไปในพื้นที่บ้านปะลุกา ตำบลโฆษิต อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส โดยคนร้ายจับคนขับรถมัดมือและปิดปากก่อนนำไปทิ้งในสวนปาล์มข้างทาง จากนั้นได้ขับรถมาก่อเหตุกราดยิงที่ป้อมรักษาการณ์ด้านหน้าค่ายปิเหล็งดังกล่าว หลังจากปฏิบัติการหยามน้ำหน้าเจ้าหน้าที่ทหารถึงหน้าค่าย ด้วยการกราดยิงเข้าใส่ กลุ่มคนร้ายก็ได้นำรถไปจอดทิ้งไว้บริเวณด้านหลังสำนักงานองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) มะรือโบออก อยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุกราดยิงประมาณ 4 กิโลเมตร ก่อนจะมีแนวร่วมขบวนการร้ายแห่งนี้ ที่มีอยู่ทุกหนแห่งในพื้นที่ ให้การสนับสนุนการหลบหนีของกลุ่มติดอาวุธดังกล่าว ด้วยการนำรถคันอื่น ช่วยในการหลบหนีไปในมุมมืด การปฏิบัติการอย่างอุกอาจ เย้ยการทำงานของเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยเฉพาะกองกำลังทหารที่ถูกสร้างมาเพื่อการต่อสู้กับกลุ่มก่อเหตุร้ายเหล่านี้โดยตรง จึงสะท้อนให้เห็นว่า ขบวนการร้ายปลายด้ามขวาน มีศักยภาพในการต่อสู้ด้วยอาวุธกับกองกำลังติดอาวุธของรัฐอย่างปฏิเสธไม่ได้ แม้ว่าการปฏิบัติการกราดยิงเข้าไปในค่ายทหารครั้งนี้ จะไม่ส่งผลให้เกิดความเสียชีวิตหรือบาดเจ็บแต่อย่างใด หากแต่ได้สะท้อนให้เห็นความพร้อมในการต่อสู้ในรูปแบบจรยุทธ์ของขบวนการร้ายแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี รวมทั้งกลุ่มติดอาวุธที่ก่อเหตุร้ายครั้งนี้ ยังสามารถหลบหนีการปิดล้อมไล่ล่าของเจ้าหน้าที่รัฐไปได้อย่างลอยนวล สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การต่อสู้เพื่อแบ่งแยกดินแดนของขบวนการนี้ ยังคงมีพลังมากพอที่จะต่อสู้กับรัฐได้ทุกที่ ทุกเวลาที่ต้องการ ด้วยการที่ขบวนการร้ายแห่งนี้ มีแนวร่วมมวลชนในพื้นที่จำนวนมาก ที่ยังคงเห็นด้วยกับการต่อสู้ด้วยอาวุธกับรัฐ และแนวร่วมมวลชนเหล่านี้ ยังคงให้การสนับสนุนการปฏิบัติการใดๆ ที่จะต่อสู้กับรัฐอย่างชัดเจน ซึ่งสะท้อนความเป็นจริงได้ว่า การดำเนินการของรัฐตลอดระยะเวลา 16 ปี นับจากเหตุการณ์ปล้นปืนไปหมดทั้งค่าย ของค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ หรือ "ค่ายปิเหล็ง" ตำบลมะรือโบออก อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 4 ม.ค.47 เพื่อแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่แห่งนี้นั้น ไม่เป็นไปในทิศทางที่น่าพอใจ สะท้อนให้เห็นว่า ตลอดระยะเวลายาวนานถึง 16 ปีที่ผ่านมานั้น การเข้าถึงมวลชน เพื่อสร้างความเข้าใจใหม่ให้เกิดขึ้นในจิตสำนึกของพี่น้องประชาชนปลายด้ามขวานนั้น แทบจะเรียกได้ว่า “ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง” เพราะก่อนการกราดยิงเข้าไปในค่ายปิเหล็ง ก็ไม่มีข่าวเล็ดลอดออกมาถึงหูหน่วยข่าวของรัฐที่มีอยู่มากมายเลยแม้แต่น้อย และหลังการก่อเหตุ คนร้ายติดอาวุธสงครามกลุ่มนี้ ยังสามารถหลบหนีการจับกุมของรัฐไปได้ โดยการช่วยเหลือของมวลชนที่เป็นแนวร่วมขบวนการแบ่งแยกดินแดนไปได้อย่างเหนือชั้น และจนถึงวันนี้ หน่วยงานความมั่นคงของรัฐที่มีเครื่องมือเครื่องไม้อย่างมากมาย ก็ยังไม่สามารถเข้าจับกุมกลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุเหล่านี้ได้ การก่อเหตุรุนแรงช่วงวันที่ 4 ม.ค. ซึ่งเป็นวาระครบรอบเหตุการณ์ปล้นปืนนั้น ตรงกับการแจ้งเตือนของฝ่ายคาวมมั่นคงว่า ปรากฏข่าวสารการเคลื่อนไหวของผู้ก่อเหตุรุนแรงระดับแกนนำ สั่งการให้สมาชิกเตรียมก่อเหตุสร้างสถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในห้วงเดือน ม.ค. พบสิ่งบอกเหตุเตรียมอ้างความชอบธรรมในวันที่ 4 ม.ค. ซึ่งเป็นวันครบรอบการปล้นปืนที่ค่ายปิเหล็ง โดยการโจมตีค่ายทหารครั้งนี้ ถือเป็นความหาญกล้า ท้าทายของกลุ่มขบวนการร้ายที่ชี้ให้เห็นว่า พวกเขาพร้อมที่จะต่อกรกับกองกำลังทุกประเภทของรัฐ ไม่เว้นแม้กระทั่งทหารติดอาวุธครบมือ และนับจากนาทีของปี 2563 นี้ไป คงจะเป็นสถานการณ์ที่ต้องติดตามอย่างไม่อาจกระพริบตาได้ เพราะเมื่อใดที่กลุ่มคนร้ายกล้าที่จะต่อกรด้วยอาวุธสงครามอย่างนี้ ก็เชื่อได้ว่า คงจะมีปฏิบัติการต่อไปที่ใหญ่กว่า เพราะไม่ใช่เพียงแค่การลอบทำร้ายด้วยระเบิดแสวงเครื่องแบบลอบกัดอย่างที่ผ่านมาเท่านั้น หากแต่คนกลุ่มนี้ ยังมีความมั่นใจที่จะยิงใส่กองกำลังทหารที่พร้อมจะตอบโต้ด้วยความรุนแรงเช่นกันอย่างเหิมเกริมยิ่ง ทั้งยังหลบหนีอย่างมืออาชีพ ด้วยการช่วยเหลือจากแนวร่วมที่น่าจะมีอยู่มากมายที่พื้นที่ที่รัฐ ยังไม่อาจเจาะลึกเข้าไปในหัวใจเพื่อเปลี่ยนความคิดในสมองของมวลชนแนวร่วมเหล่านั้นได้ ผนวกกับการโจมตีของสหรัฐฯ ที่กระทำต่อผู้นำทางทหารของอิหร่านในดินแดนตะวันออกกลาง ยิ่งทำให้สถานการณ์ความเข้มข้นของนักต่อสู้ชาวมุสลิมทั่วโลก ต่างผนึกกำลังความเป็นหนึ่งเดียวของโลกมุสลิม และสร้างความฮึกเหิมในการต่อสู้กับศัตรูของพี่น้องของพวกเขาในทั่วทุกมุมโลก และทุกวิธีการในการทำลายฝ่ายตรงข้าม(ทางความคิด) ของพวกเขา สถานการณ์ในตะวันออกกลางที่ผ่านมาเร็วๆ นี้ จึงช่วยโหมกระแสของความเกลียดชังใครก็ตามที่ไม่เชื่อตามแนวทางของพวกเขา และสร้างพลังในหัวใจของคนมุสลิมทั่วโลกที่อ้างว่าต้องสู้เพื่อนำความเป็นตัวตนของมุสลิมกลับคืนมา และในพื้นที่ปลายด้ามขวาน แม้ว่าจะอยู่ห่างไกลจากพื้นที่ขัดแย้งในตะวันออกกลาง หากแต่ความสัมพันธ์ทางใจและทางอุดมการณ์ของพี่น้องร่วมความเชื่อ ร่วมความศรัทธา ยังเหนียวแน่นยิ่ง เหล่านี้คือความน่าห่วงใจมากขึ้นไปอีก ที่จะทำให้ไฟแห่งความเคียดแค้นในพื้นที่ปลายด้ามขวานกลับลุกโชนต่อไปอย่างมีพลัง ซึ่งตอกย้ำความน่าห่วงใยมากขึ้น เมื่อกองกำลังติดอาวุธของขบวนการ หาญกล้า ท้าทายกำลังทหารของรัฐ และมีแนวร่วมขบวนการร้าย ร่วมให้การสนับสนุนช่วยเหลืออย่างเต็มกำลังและแนบแน่นยิ่ง เหล่านี้จึงเป็นเครื่องสะท้อนความเป็นจริงที่ว่า การแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่แห่งนี้ ยังอยู่ห่างไกลเป้าหมายของรัฐอย่างไม่อาจประเมินได้