ทีมข่าวคิดลึก
สถานการณ์ทางการเมืองกลับมาร้อนระอุอีกรอบ เมื่อยิ่งถึงวันที่คดีการเก็บภาษีหุ้นชินคอร์ป จะหมดอายุในวันที่ 31 มี.ค.นี้ เมื่อ "กรมสรรพากร" ได้ทำหนังสือนัดให้ "ทักษิณ ชินวัตร"อดีตนายกรัฐมนตรี หรือตัวแทนที่ได้รับมอบอำนาจ เข้ามารับทราบผลสรุปการประเมินภาษีและเงินเพิ่มจากการซื้อขายหุ้นชินคอร์ป ที่กรมสรรพากรเมื่อวันที่ 27 มี.ค.
ที่สำคัญไปกว่านั้นเมื่อกรมสรรพากรได้สรุปประเมินตัวเลขการเรียกเก็บภาษี ออกมาแล้วมีมูลค่าสูงกว่า 1.7 หมื่นล้านบาท !
นั่นหมายความว่า เมื่อตัวเลขปรากฏชัดออกมาเช่นนี้ จึงนำมาซึ่งความกดดันต่อฝ่ายทักษิณทันที ไม่เช่นนั้นแล้ว "เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ" ทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย คงไม่ยื่นหนังสือค้านเก็บภาษีหุ้นชินคอร์ป ต่อกรมสรรพากร หลังจากปรากฏเป็นข่าวใหญ่
และนี่คือสัญญาณการล้อมกรอบกดดันทักษิณ ในแง่มุมที่หนักหนาสาหัสกว่าในทางการเมือง ที่เคยมีกระแสว่า ฝ่ายที่กุมอำนาจจะทำการย่อยสลายพรรคเพื่อไทยให้กลายเป็นพรรคเล็กลงที่สุด หมดกำลังให้มากที่สุด ก่อนที่จะปล่อยให้ลงสนาม เพราะนั่นจะหมายความว่า โอกาสชนะในสนามเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทยจะเกิดขึ้นได้ยาก
แต่เมื่อเวลานี้ ทักษิณกำลังโดนกดดันด้วยกรณีการจัดเก็บภาษีหุ้นชินฯในมูลค่าตัวเลขสรุปการประเมินสูงกว่า 1.7 หมื่นล้านบาท ดังนั้นดูเหมือนว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับทักษิณ ณ วันนี้คล้ายเป็นเดจาวู ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อครั้งที่ถูกยึดทรัพย์ในปี 2553 มูลค่า 4.6 หมื่นล้านบาท
และหากย้อนกลับไปในวันวานต้องไม่ลืมว่า วันนั้นทักษิณเองพยายามสู้จนสุดฤทธิ์ทั้งทางตรง ทางอ้อม และต่อหน้า ไปจนถึงการเดินเกมใต้ดิน รวมทั้งมีข่าวลือข่าวร้อนไปไกลว่าจะมีการใช้เงินทำให้บ้านเมืองปั่นป่วน หรือเกิดความซับซ้อนในข่าวลือ ลึกเข้าไปอีกชั้นหนึ่งว่าจะมีเงินก้อนโตเพื่อล่อหลอกให้ "มือมืด" ก่อการปฏิวัติรัฐประหารเพื่อแลกกับการคืนเงินก้อนโตให้กับทักษิณ
สถานการณ์ในวันวานเต็มไปด้วยความเข้มข้นและคุกรุ่นอย่างต่อเนื่อง ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้อาจแปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การตัดเงื่อนไขที่ว่าด้วยการจ้างให้มีนายทหารบางกลุ่มก่อการรัฐประหารนั้นคงเป็นไปได้ยากเต็มที
ทั้งนี้ต้องยอมรับว่าการดำเนินการจัดเก็บภาษีจากการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปจากทักษิณ มูลค่า 1.7 หมื่นล้านบาท นั้น คือไฟต์บังคับที่ "บิ๊กตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ต้องเดินหน้า ไม่เช่นนั้นแล้วรัฐบาลจะเป็นฝ่ายทำผิดกฎหมายเสียเอง ในมาตรา 157
มิหนำซ้ำ ยังต้องไม่ลืมว่า แรงกดดันที่ทำให้ทั้งรัฐบาล ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกรมสรรพากร ต้อง "ขยับ" เช่นนี้ ล้วนแล้วแต่มาจาก "พันธมิตรแนวร่วม" ของ คสช.ที่เทใจหนุน พล.อ.ประยุทธ์ และ คสช.แทบทั้งสิ้น !