เสือตัวที่ 6 หลังจากการก่อเหตุร้ายคร่าชีวิตชาวบ้านผู้บริสุทธิ์อย่างไร้มนุษยธรรม กระแสสังคมในพื้นที่ได้ตีกลับเข้าใส่กลุ่มโจรหัวคิดสุดโต่ง นิยมความรุนแรงในขบวนการก่อความเดือดร้อนให้ชาวบ้านในพื้นที่ปลายด้ามขวานแห่งนี้อย่างหนัก สร้างความสั่นสะเทือนกระบวนการขับเคลื่อนไปสู่การแยกปกครองของบรรดาแกนนำในขบวนการร้ายแห่งนี้ไม่ใช่น้อย โดยสังเกตได้จากแถลงการณ์ของแกนนำขบวนการที่อ้างเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นในการก่อเหตุครั้งที่ผ่านมา กระแสการต่อต้าน ปฏิเสธความรุนแรงในพื้นที่ได้ถูกโหมกระพือขึ้นอย่างกว้างขวาง และนั่นจึงเป็นความชอบธรรมที่เจ้าหน้าที่รัฐ กำลังเปิดปฏิบัติการปิดล้อม ตรวจค้น กวาดล้างพื้นที่เป้าหมายได้อย่างเข้มข้น ท่ามกลางการให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่รัฐ ให้ความยินยอมพร้อมใจของพี่น้องชาวไทยมุสลิมในพื้นที่มากขึ้นเป็นทวีคูณ ในขณะที่ผู้บริหารบ้านเมืองหลายคน ก็ใช้โอกาสนี้ในการเดินทางมาให้กำลังใจเจ้าหน้าที่พร้อมให้แนวนโยบายที่สำคัญในการดับไฟแค้นของบรรดากลุ่มคนหัวรุนแรงในพื้นที่ที่ไม่เคยคิดจะลดละความมุ่งประสงค์ร้ายกับคนในพื้นที่ โดยเฉพาะพล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก ที่ได้เดินทางลงพื้นที่ตั้งแต่ช่วงเช้าของวันศุกร์ที่ 15 พ.ย.62 และได้เข้าร่วมประชุมกับแม่ทัพภาคที่ 4 ตลอดจนผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจในพื้นที่ ที่ค่ายสิรินธร อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี พร้อมรับทราบสถานการณ์การไล่ล่าคนร้ายอำมหิตเหล่านี้ว่า หน่วยงานความมั่นคงได้ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยหลายคน และมีหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์หลายอย่างที่ใช้มัดตัวกลุ่มคนร้ายที่หลบหนีหลังจากการก่อเหตุสลดที่ผ่านมา จากนั้นในช่วงบ่าย พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ลงพื้นที่ไปประชุมกับผู้บังคับหน่วยตำรวจ ที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติส่วนหน้า อำเภอเมือง จังหวัดยะลา พร้อมสรุปความคืบหน้าคดีในส่วนของพนักงานสอบสวนว่า อาวุธปืนที่คนร้ายใช้ในที่เกิดเหตุ ยิงมาจากอาวุธปืน 17 กระบอก โดยปืนของคนร้ายมีประวัติโชกโชน เคยก่อคดีความมั่นคงในพื้นที่อำเภอเมืองยะลา อำเภอกรงปินัง อำเภอบันนังสตา อำเภอยะหา และ อำเภอกาบัง จังหวัดยะลา รวมทั้ง อำเภอโคกโพธิ์ อำเภอหนองจิก อำเภอยะหริ่ง อำเภอเมืองปัตตานี และอำเภอเทพา จังหวัดสงขลา เข้าลักษณะของฆาตกรต่อเนื่อง โดยไม่สนใจในหลักคำสอนทางศาสนาอิสลามที่มุ่งให้อภัยเพื่อมนุษย์ และสอนให้คนอยู่ด้วยกันกับเพื่อนมนุษย์อย่างสันติ สำหรับความคืบหน้าของการสืบสวนติดตามนำคนร้ายกลุ่มนี้มาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมขอรัฐ เป็นไปอย่างน่าพอใจและได้ผล จากผลการตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอ พบว่าตรงกับคนร้าย 3 คน คือ นายนัสรูเลาะห์ สะมะ ผู้ก่อเหตุรุนแรงที่เคลื่อนไหวในพื้นที่ ตำบลท่าสาป อำเภอเมือง จังหวัดยะลา นายซะอุดี ติงอุเซ็ง เคลื่อนไหวอยู่ในตำบลตาเนาะปูเต๊ะ อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา เคยมีหมายจับคดีความมั่นคงจำนวน 6 หมาย และ นายอาดัม มุสอดี เป็นผู้ก่อเหตุรุนแรงระดับปฏิบัติการ เคลื่อนไหวในพื้นที่ อำเภอยะหา กับ อำเภอกาบัง จังหวัดยะลา ทั้งหมดเจ้าหน้าที่ออกหมายจับแล้ว พร้อมขออนุมัติศาล เพื่อขอหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มอีก 2 คน คือ นายอับดุลฮากีม วาเงาะ อายุ 30 ปี และ นายตูแวแม กูบูละ อายุ 35 ปี ทั้งคู่เป็นชาวตำบลยุโป อำเภอเมืองยะลา นับถึงขณะนี้ ผ่านไป 10 วันนับตั้งแต่วันเกิดเหตุ (5 พ.ย.62) ตำรวจออกหมายจับผู้ต้องหาได้แล้ว 5 ราย คุมตัวในฐานะผู้ต้องสงสัยอีกประมาณ 11 คน ส่วนระเบิดที่คนร้ายใช้วางบริเวณเสาไฟฟ้า 3 จุด พบตำหนิเอกลักษณ์ตรงกันทั้ง 3 ลูก จึงเชื่อว่าประกอบพร้อมกันโดยบุคคลเดียวกันในพื้นที่บ้านบาตัน หมู่ 4 ตำบลลิดล อำเภอเมือง จังหวัดยะลา นอกจากนั้นยังได้ตรวจค้นบ้านเป้าหมายหลายครั้ง สามารถควบคุมตัวบุคคลต้องสงสัยได้รวมๆ 17 คน ปล่อยตัวแล้ว 6 คน เหลืออีก 11 คน มีบางคนยอมรับสารภาพ ทั้งนี้ มีกระแสข่าววงในแจ้วว่า ผู้บริหารระดับสูงของรัฐทุกฝ่าย ตลอดรวมถึงเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติงานในพื้นที่ ต่างมั่นใจในการปราบปรามผู้ก่อเหตุร้าย หัวรุนแรงเหล่านี้ให้สิ้นซากภายใน 6 เดือนนับจากนี้ โดยแหล่งข่าวแจ้งว่า ความมั่นใจของเจ้าหน้าที่ในการปรามปรามผู้ก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ชายแดนใต้ให้สิ้นซากภายใน 6 เดือนตามนโยบายนั้น มีความเป็นไปสูงยิ่ง เพราะจุดแตกหักของการก่อเหตุร้ายทำลายชีวิตชาวบ้านผู้บริสุทธิ์แบบไม่ทันตั้งตัวและไม่มีทางสู้ ทั้งหญิงและคนสูงวัยคราวเดียวถึง 15 ชีวิตซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นชาวบ้านธรรมดาๆ ที่อาสาสมัครมาด้วยความบริสุทธิ์ใจ ณ บริเวณป้อมจุดตรวจชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน หรือ ป้อม ชรบ. ในตำบลลำพะยา อำเภอเมือง จังหวัดยะลา ได้เป็นจุดเริ่มต้นของการหูตาสว่างของชาวบ้านทุกกลุ่มในพื้นที่ และปฏิเสธความรุนแรงที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ ให้พี่น้องในท้องถิ่นเลยแม้แต่น้อย จึงตัดสินใจให้ความร่วมมือกับรัฐในการปราบปรามกลุ่มก่อกวน ทำลายบรรยากาศความสงบสุขในพื้นที่ท้องถิ่นเหล่านี้ให้หมดสิ้นไปเสียที จึงกล่าวได้ว่า ถึงเวลาแล้วที่พี่น้องทุกหมู่เหล่าในท้องถิ่น จักได้กล้าลุกขึ้นมาต่อกรกับกลุ่มคนร้ายที่ไม่มีความปรารถนาดีใดๆ กับคนในพื้นที่ นอกจากความสะใจที่ได้ทำลายล้างชีวิตผู้คน เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจและผลประโยชน์ส่วนตน เฉพาะกลุ่มตนเท่านั้น ในการเพ้อฝันที่จะสามารถเป็นผู้นำได้เมื่อแยกการปกครองได้ และถึงเวลาแล้วที่พี่น้องในพื้นที่ทุกฝ่าย จักได้หูตาสว่าง ยอมรับความจริงว่า คนในฝ่ายใดเป็นผู้สร้างสรรค์ความเจริญ สร้างความสุขและอนาคตที่ดีให้คนในพื้นที่ และคนในฝ่ายใดที่เป็นผู้ทำลายทุกสิ่งอย่างแม้กระทั่งอนาคตอันสดใสของลูกหลานในพื้นที่ และถึงเวลาแล้วที่หน่วยงานภาครัฐตั้งแต่ผู้นำระดับสูงของประเทศ ตลอดจนผู้บริหารงานด้านความมั่นคงในพื้นที่ จนถึงเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติ จะได้เอาจริงเอาจังในการปรามปรามผู้ก่อเหตุรุนแรงที่ไม่มีวันเปลี่ยนความคิดสุดโต่งในที่ชายแดนใต้ให้หมดสิ้นไป ด้วยเชื่อว่าปัญหาความรุนแรงอันเกิดขึ้นจากคนเพียงกลุ่มเดียวที่ลากยาวมานานนับสิบปีนี้ จะสิ้นซากไปได้ ก็ด้วยการเอาจริงของทุกภาคส่วนอย่างเต็มกำลัง