แสงไทย เค้าภูไทย ปัญหาธรรมกายยังมีทางออกอีกหลายทางหากรัฐจะลดทิฐิ หากดึงดันอยู่นาน ศรัทธาประชาชนจะยิ่งเสื่อมถอย พวกอยากจัดการกับธรรมกายก็จะหาว่ารัฐไม่มีน้ำยา ใช้งบสิ้นเปลืองเกินไปกับการจับคนคนเดียว พวกสนับสนุนก็หาว่ารัฐทำเกินเหตุจะจับคนคนเดียว แต่ทำเดือดร้อนไปทั่ว การตัดสินใจใช้ม.44 จัดการกับพระธัมมชโยนั้น ส่วนใหญ่เห็นว่าถูกต้องแล้ว เพราะใช้กฎหมายปกติไม่ได้ผล แต่ไม่เห็นด้วยกับการใช้กำลังพลเป็นกองพันๆไปปิดล้อมและมุ่งมั่นบุกเข้าตรวจค้น ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่า ค้นไปแล้วไม่เจออะไร เพราะตัวพระธัมมชโยหลบเร้นไปซ่อนตัวอยู่ในที่ที่ฝ่ายติดตามตัวไม่สามารถพบเจอได้ เนื่องจากคาดเดาสถานการณ์ได้ถูกต้องว่าดีเอสไอจะใช้มาตรการนี้เข้าดำเนินการจับกุม ซ้ำยังมีเวลาเตรียมการได้นานจนมีความพร้อม พร้อมที่จะต่อสู้ต้านทานอย่างยืดเยื้อเป็นเดือนๆ เสบียงอาหารในส่วนของโรงครัวที่สื่อมวลชนติดตามเจ้าหน้าที่เข้าไปถ่ายภาพออกมานำเสนอนั้น ทำให้เห็นว่าฝ่ายวัดธรรมกายเตรียมพร้อมที่จะทำศึกยืดเยื้อ ถึงวันนี้ ยังไม่ถึงเดือน ความรู้สึกของประชาชนเริ่มจะเอนเอียงไปทาง “ไม่เห็นด้วย” กับการใช้มาตรการเชิงรุกของรัฐบาลต่อธรรมกาย โพลจากหลายสำนักที่สำรวจความเห็นของประชาชนในด้านความเชื่อมั่น ศรัทธา ความนิยมที่ประชาชนมีต่อรัฐบาลและตัวนายกรัฐมนตรี พบว่าเสื่อมถอย รัฐบาลอาจจะต้องยอมถอยสักหนึ่งก้าว เพื่อหยุดยั้งภาวะเสื่อมถอยนี้ ยังมีทางเลือกอีกมาก ที่จะแก้ไขปัญหาธรรมกาย หากรัฐบาลลดความสำคัญของคดีนี้ จากระดับชาติเป็นระดับพื้นๆ อย่างคดีอาญาอื่นๆที่ผู้ต้องหาหลบหนีการจับกุมเป็นระยะเวลานานๆ บางรายหนีจนหมดอายุความ ถ้าทำให้คดีพระธัมมชโยเป็นคดีพื้นๆ ก็คงไม่ต้องถึงกับใช้กองกำลังผสมทหาร-ตำรวจนับพันๆนายเพียงเพื่อจะจับคนคนเดียวเช่นนั้น ยกตัวอย่าง คดีกำนันเป๊าะสมชาย คุณปลื้ม เป็นต้น กำนันเป๊าะ หนีคดีเป็นปีปี มีการสร้างสถานการณ์ต่างๆนานาลวงเจ้าหน้าที่ ว่าหนีทางเรือประมงไปเข้าเขมร โดยมีผู้พบเห็นที่บ่อนปอยเป็ต เป็นต้น แต่ทางการก็จับตาและแกะรอยอย่างเงียบๆมาตลอด จนสืบทราบได้ว่า ไม่ได้หนีไปไหน อยู่ใน “เซฟเฮาส์” ที่ลูกๆสร้างให้บิดาซ่อนตัวเป็นพิเศษนั่นเอง จนวันหนึ่งสายรายงานว่ากำนันเป๊าะจะต้องเข้ารับการรักษาโรคหัวใจอันเป็นโรคประจำตัวที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯเป็นการด่วน สายสืบจึงแกะรอยเส้นทางเดินทาง เข้ามาโรงพยาบาลจนได้ข้อมูลแน่ชัดว่าจะผ่านด่านเก็บค่าผ่านทางบนเส้นทางมอเตอร์เวย์ ตำรวจก็ยกกำลังไปดักจับจนได้ตัว เป็นอันปิดคดี ทุกวันนี้กำนันเป๊าะนอนโรงพยาบาลมากกว่านอนคุก เพราะอาการป่วยค่อนข้างหนัก นี่คือตัวอย่างของการใช้มาตรการที่ละมุลละม่อมกับคดีที่ผู้มีอิทธิพลเป็นผู้ต้องหา คดีของพระธัมมชโยนั้น ระวางโทษเบากว่าของกำนันเป๊าะมาก เพราะของธัมมชโยแค่รับของโจร ซ้ำยังคืนของกลางไปแล้ว อาจจะจำคุกแค่ 6 เดือน ให้รอลงอาญาก็ได้ หรือถ้าสู้คดีกันจริงๆ ก็มีสิทธิหลุด เพราะความเป็นพระ ญาติโยมถวายอะไรมาก็รับ ใส่บาตรด้วยอาหารอะไรมา ถ้าไม่รับก็อาบัติ เงินที่นำมาถวายนั้น คนที่นำมาถวาย ไปขโมยใครเขามา อาหารที่นำมาตักบาตร ไปฆ่าหมู ฆ่าไก่ทำอาหารเป็นปาณาติบาตยังไง จะต้องให้พระรับรู้ด้วยหรือ? ส่วนเรื่องวัดพระธรรมกายทำอะไรต่อมิอะไรที่นอกเหนือจากพระธรรมวินัยและวัตรปฏิบัติในกรอบของความเป็นสงฆ์และความเป็นพุทธศาสนิกนั้น เป็นเรื่องที่กรมการศาสนา โดยเฉพาะสำนักพุทธต้องกำกับดูแลและลงโทษตามบทบัญญัติที่มีอยู่ การที่นายกฯใช้ม.44 ปลดผู้อำนวยการสำนักพุทธฯก็ด้วยการแยกแยะที่ประเด็นนี้ ไม่มีเสียงคัดค้านหรือวิพากษ์วิจารณ์ใดๆจากสาธารณชนผ่านสื่อต่างๆ ความเห็นจากสื่อต่างๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อไซเบอร์ แบ่งเป็น 2 ฝ่าย คือฝ่ายเห็นด้วยกับการดำเนินการของดีเอสไอ กับฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย ฝ่ายที่เห็นด้วยยังแบ่งเป็นฝ่ายที่อยู่ข้างวัดธรรมกาย กับฝ่ายที่ไม่เข้าข้างหรือเห็นชอบกับวิถีและแนวทางของวัดธรรมกาย แต่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางการทำงานของดีเอสไอหรือที่จริงคือคำสั่ง ม.44 ของคสช. สวนดุสิตโพล ของมหาวิทยาลัยสวนดุสิตได้ทำการสำรวจความเห็นของประชาชนในแง่มุมหลายด้านระหว่างวันที่ 20-25 กุมภาพันธ์ ศกนี้ สรุปผลดังนี้คือ เรื่องความสนใจในข่าววัดพระธรรมกาย ประชาชนในข่ายสำรวจ 87.50% ให้ความสนใจติดตามข่าว มีการสำรวจความเห็นส่วนนี้ในสื่ออื่นๆพบว่าเมื่อเทียบกับข่าวที่เป็นข่าว hot news หรือข่าวร้อนแรงแล้ว ข่าวบุกวัดธรรมกายมาเป็นอันดับ 1 กลบข่าวครูจอมทรัพย์ ข่าวลุงวิศวะ และข่าวเกิดสดๆร้อนทุกข่าว ส่วนความคาดหวัง หรือความต้องการของประชาชนในกรณีนี้ ประชากรสำรวจ 75.64% อยากให้ถอนเจ้าหน้าที่ออกจากพื้นที่วัด เพี่อที่ปัญหาจะได้คลี่คลาย ส่วนเรื่องคดี 71.79% เห็นว่าให้มีการดำเนินคดีตามกฎหมาย ว่าไปตามข้อเท็จจริง ในประเด็นหลังนี้ 64.74% ของประชากรสำรวจเห็นว่า คดีจะยืดเยื้อ ต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง ถ้าคดีพระธัมชโยมีอายุความ 20 ปี ก็ต้องถือว่า มีเวลาถึง 20 ปี โอกาสที่จะจับตัวได้ยั มีถึง 20 ปี ดังเช่นที่กำนันเป๊าะถูกจับตัวได้ในเวลาไม่ถึง 10 ปีเท่านั้น แต่การที่จะถอนกำลังออกมาจากพื้นที่วัดพระธรรมกายและอาณาบริเวณโดยรอบนั้น ย่อมไม่ต่างจากการลงจากหลังเสือ บุกวัดก็โดนด่า ถอนตัวก็โดนด่า อยู่เฉยๆ ค่อยๆคิด ค่อยๆแก้ ยืดเยื้อไปจนกว่าสถานการณ์จะกลายเป็นความคุ้นชิน ประชาชนไม่สนใจ และฉวยโอกาสที่มีข่าวฮ๊อตนิวส์ใหม่ๆมาแทนที่ ใช้ขบวนการศาลกำหนดทิศทางคดี ทำตามศาลวินิจฉัย ย่อมถือว่าไม่เสียหน้า ลงจากหลังเสืออย่างสง่างาม โดยไม่โดนเสืองาบไปกิน