ทีมข่าวคิดลึก
กินระยะเวลายาวนานเกือบสองสัปดาห์ที่ปฏิบัติการบุกค้นวัดพระธรรมกาย อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่ได้สนธิกำลังร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหาร โดยในรอบนี้ดูจะมีความชัดเจนว่า เป้าหมายในการทำงานรอบนี้ ไม่ใช่อยู่แค่เพียงการเข้าจับกุม "พระธัมมชโย"อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายเท่านั้น หากแต่ยังต้องการเปิดประตูวัด เพื่อให้สังคมได้ประจักษ์สู่สายตา หลังจากที่ก่อนหน้านี้ มีแต่ข่าวลือกันไปต่างๆ นานา
บรรยากาศและความเข้มข้นจากการเผชิญหน้าระหว่าง พระ -ศิษยานุศิษย์ของวัดกับเจ้าหน้าที่ ยังคงดำเนินไปในลักษณะที่เรียกว่าหาจุดยุติไม่ง่ายนัก ในทางตรงกันข้าม กลับยิ่งจะทำให้ผู้คนในสังคมเกิดคำถามตามมาทั้งต่อวัดพระธรรมกายเอง ทั้งข้อสงสัยที่ว่า พระธัมมชโยหนีหายไปไหน ขณะเดียวกัน สังคมภายนอกยังได้เห็นถึงความใหญ่โต โอ่อ่า ตลอดจนทรัพย์สินภายในวัดว่ามีมากมาย เท่าใด
ขณะที่ฝ่ายพระและศิษยานุศิษย์เองนอกเหนือไปจากความพยายามในการรักษา "ที่มั่น" คือวัดเอาไว้แล้ว ยังตอบโต้ด้วยปฏิบัติการด้านข่าว ด้วยการส่งข้อมูล ข้อความผ่านแอพพลิเคชั่นไลน์เพื่อระดมแนวร่วมจากภายนอกวัดให้มาร่วมกันรักษาที่มั่นอย่างต่อเนื่อง พร้อมกันนี้ยังให้น้ำหนักไปที่การคัดค้านการใช้"มาตรา 44"ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ประกาศให้วัดเป็นพื้นที่ควบคุม
การต่อสู้ ตอบโต้ของฝ่ายวัดพระธรรมกายกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารนั้น มีทั้งการใช้พระและฆราวาส เพื่อปกป้องวัด จนเกิดการปะทะกับเจ้าหน้าที่หลายครั้งหลายครา ขณะเดียวกันยังพบว่าการใช้อานุภาพด้านการสื่อสารในทุกช่องทางที่มีอยู่ เพื่อดึงดูดทุกสายตาให้จับจ้องมาที่วัด ได้เกิดขึ้นอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง
อีกทั้งยังดูเหมือนว่า วัดพระธรรมกายไม่ได้ต่อสู้เพียงลำพัง เพราะงานนี้บรรดา "ฝ่ายตรงข้ามคสช." ทั้งพรรคเพื่อไทยและการเมืองกลุ่มต่างๆ ได้พากันออกโรงโจมตีการใช้มาตรา 44 ของคสช.อย่างดุเดือด มีการเชื่อมโยงไปถึงการใช้อำนาจทางทหาร เข้ามาบริหารจัดการ กับพระและพระพุทธศาสนา
แน่นอนว่าประเด็นว่าด้วยเรื่องของศาสนานั้นเต็มไปด้วยความอ่อนไหวและเปราะบางเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งฝ่ายวัดพระธรรมกาย มั่นใจว่ารัฐบาลจะต้องเพลี่ยงพล้ำอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่เช่นนั้นแล้วคงไม่ออกแถลงการณ์ ยึดแนวทาง "สงบสันติ อหิงสา" พร้อมทั้งปฏิเสธทุกความรุนแรงที่เกิดขึ้นนั้นไม่เกี่ยวข้องกับทางวัดแต่อย่างใด
การบุกเข้าค้นวัดพระธรรมกาย ครั้งนี้กำลังถูกมองว่าเป็นไฟต์บังคับ ที่ทั้งรัฐบาลและคสช. ไม่อาจหลีกเลี่ยง เนื่องจากสถานการณ์ที่บีบรัด และกดดันฝ่ายรัฐกันมาพักใหญ่ ว่าจะมีการปล่อยปละให้วัดพระธรรมกาย ดำรงตนเป็นเสมือนรัฐเอกเทศ สร้างลัทธิใหม่ขึ้นมาคู่กับพระพุทธศาสนาในบ้านเราอย่างนั้นหรือ
ด้วยเหตุนี้ ปฏิบัติการบุกเข้าค้นวัดพระธรรมกาย จึงบังเกิดผลตามมาที่มากมายและมีน้ำหนักมากกว่าการได้ตัว พระธัมมชโย ที่จากนี้ไป จะเหลือเพียงทางเลือกเดียว นั่นคือต้องหนีคดีไปยาวนานจนกว่าจะหมดอายุความ เป็นเวลา 15 ปี
วันนี้สังคมได้มองเห็น และได้รับคำตอบในสิ่งที่ค้างคา เคยเป็นคำถามที่หลายคนอยากรู้ข้อเท็จจริงว่าภายในวัดนั้น มีความเป็นอยู่กันอย่างไร ใหญ่โตและอลังการ มากน้อยแค่ไหนสำหรับคนนอกที่ไม่เคยย่างกรายเข้าไป สถานการณ์วันนี้ของรัฐบาล และคสช. จึงต้องเดินหน้า เมื่อสามารถเปิดประตูวัดได้แล้ว แม้จะต้องใช้เวลาเพื่อแลกกับความสูญเสียเลือดเนื้อ จากการปะทะกันเองก็ต้องถือว่าคุ้มค่าและเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับรัฐบาล