ทวี สุรฤทธิกุล
ภูมิใจไทยคงได้เป็นแกนจัดตั้งรัฐบาล แบบ “ผสมมั่วจำยอม” และรัฐบาลนี้จะ “โลว์โปรไฟล์ แต่ ไฮโปรฝิต”
แม้ว่าการเปิดตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีและผู้สมัครของพรรคการเมืองแต่ละพรรคจะไม่ค่อยฮือฮานัก แต่การรณรงค์หาเสียงก็คงจะเป็นไปอย่างคึกคักเข้มข้น กระนั้นการตัดสินแพ้ชนะก็น่าจะอยู่ที่ปัจจัยต่อไปนี้
สิ่งแรก ฐานเสียงที่แต่ละพรรคครองอยู่ในแต่ละเขตเลือกตั้ง ซึ่งจะทำให้ผู้ที่เป็น ส.ส.เก่าอยู่ในพื้นที่ค่อนข้างจะได้เปรียบ ทั้งนี้เพราะมีระยะเวลาหาเสียงสั้น ๆ ผู้สมัครหน้าใหม่อาจจะมีเวลาไม่พอ เว้นแต่บางพรรคจะมี “กระแส” บางอย่างเข้ามาผลักดันให้เกิดความนิยมขึ้นแบบฉับพลัน ซึ่งก็น่าจะตื่นเต้นว่าจะมีกระแสอะไรเกิดขึ้นบ้างไหม
สิ่งต่อมา ก็คือ “กระแส” ที่มีทั้งแบบที่สร้างขึ้นได้ กับแบบที่ “อุบัติ” ขึ้นมาเอง ซึ่งในการเลือกตั้งครั้งนี้อยู่ท่ามกลางการสื่อสารอันเร่าร้อนในโลกโซเชียล คงจะมีหลาย ๆ พรรคและผู้สมัครหลาย ๆ คนพยายามที่จะสร้างกระแสต่าง ๆ ขึ้นเองอย่างมากมาย จึงขึ้นอยู่กับว่าประชาชนผู้เสพสื่อจะ “อิน” หรือนิยมชมชอบไปด้วยหรือไม่ กระนั้นในประวัติศาสตร์การเลือกตั้งของไทยหลายครั้งมักจะมีกระแสที่ “อุบัติ” ขึ้นมาเองได้บ่อย ๆ อย่างเช่น คึกฤทธิ์ฟีเวอร์ สมัครฟีเวอร์ หรือจำลองฟีเวอร์ ในอดีต และ ทักษิณฟีเวอร์ในยุคที่ผ่านมา แต่ในยุคนี้ยังมองไม่เห็นฟีเวอร์ในแบบดังกล่าว แต่ก็อาจจะเกิดขึ้นได้โดยฉับพลัน ซึ่งจะพลิกเกมการเลือกตั้งในทันที
และสิ่งที่ยังมีความสำคัญมากในการเลือกตั้งครั้งนี้ อันเป็น “เอกลักษณ์” ของการเลือกตั้งในประเทศไทย ก็คือ “ขายเสียง - ซื้อสิทธิ์ ทุจริตเลือกตั้ง” ก็ยังคงเป็นพฤติกรรมที่จะมีมาก ไม่เพียงแต่จะเป็นด้วย “สันดาน” ของนักการเมืองที่ประพฤติมาจนเคยชิน แต่ยังเป็นด้วยวัฒนธรรมทางการเมืองของคนไทยจำนวนหนึ่งที่สมยอมกับนักการเมือง อาจจะด้วยความเกรงใจแบบคนไทยในระบบอุปถัมภ์ หรือด้วยความเกรงกลัวผู้มีอำนาจแบบศักดินา ก็จะทำให้การซื้อเสียงเกิดขึ้นโดยทั่วไป กอรปกับระบบการตรวจสอบและเอาผิดผู้ทุจริตการเลือกตั้งนี้ค่อนข้างอ่อนแอ ก็จะยิ่งทำให้การทุตริตในการเลือกตั้งยังคงมีมาก อันเป็น “ความอัปลักษณ์” ของระบบการเมืองไทยมาโดยตลอด
คาดกันว่าพรรคภูมิใจไทยจะได้ ส.ส. เข้ามากเป็นอันดับหนึ่ง โดยมีพรรคประชาชนและพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคเป็นอันดับสองและสาม ซึ่งทั้งพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาชนก็ประกาศแล้วว่าจะ “ไม่ผสม” กันและกัน ดังนั้นจึงมีการคาดเดาว่าพรรคภูมิใจไทยกับพรรคเพื่อไทยอาจจะมา “จูบปาก” กันได้ เพื่อร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งเชื่อกันว่าน่าจะมีเสียงเกิน 250 เสียง แต่อาจจะยังปริ่ม ๆ หรือเกิน 250 เสียงมาไม่มาก จึงต้องอาจหา “พรรคเสริม” มาช่วยเพิ่มให้รัฐบาลมีความมั่นคงมากขึ้น ที่เป็นไปได้มากก็คือพรรคกล้าธรรม ที่อาจจะมี ส.ส.มาเสริมได้อีกสัก 20 – 30 คน แต่ก็น่ากังวลว่าอาจจะเข้ามาขัดแข้งขัดขากันในรัฐบาล กระนั้นก็เป็นความจำเป็น อย่างที่เรียกว่า “รัฐบาลผสมมั่วและจำยอม” เพราะดูจะไม่เข้าขากันเท่าใด แต่ก็ต้องยอมกันและกัน อบ่างที่เรียกว่า “สมยอม” เพื่อให้ “สมประโยชน์” ของนักการเมืองในเผ่าพันธุ์แบบนี้ โดยมีพรรคประชาชนเป็นแกนนำฝ่ายค้าน ส่วนพรรคอื่นนอกนั้นก็คงเป็นตัวประกอบ และคอยผสมโรงเรียกความนิยมตุนไว้ เผื่อว่ารัฐบาลไปไม่รอด หรือมีการเลือกตั้งในครั้งใหม่
รัฐบาลชุดนี้จะมีสภาพคล้ายรัฐบาลหลังการเลือกตั้งใน พ.ศ. 2531 ที่พรรคชาติไทยชนะเลือกตั้งได้ ส.ส.เข้ามามากที่สุด จึงได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล แต่ก็ต้องจำยอมมาผสมร่วมกันกับพรรคที่เคยมีรอยร้าวระหว่างกัน คือพรรคกิจสังคม ที่เคยมีปัญหากันในยุครัฐบาลของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ รวมถึงพรรคอื่น ๆ ที่ถูกดึงเข้ามาเสริมความเข้มแข็ง ก็มีสภาพไม่แตกต่างกัน คือชิงดีชิงเด่นกันมาโดยตลอด
การจัดตั้งรัฐบาลที่มีพลเอกชาติชาย ชุณหวัน เป็นนายกรัฐมนตรี จึงมีการแบ่งกระทรวงกันแบบ “เหมากระทรวง” คือพรรคชาติไทยกับพรรคกิจสังคมนั้นจะให้แต่ละกระทรวงคุมโดยคนของพรรคเดียวกัน ทั้งรัฐมนตรีว่าการและช่วยว่าการ จึงเกิดระบบ “บุฟเฟต์คาบิเนต” คือกอบโกยกันทุจริตแบบ “หมดกระทรวง” นั้นด้วย อันเป็นสาเหตุหนึ่งในการยึดอำนาจของคณะรักษาความสงบเรียบร้อย (รสช.) ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 โดยได้มีการยึดทรัพย์และลงโทษรัฐมนตรีหลายคนหลังการยึดอำนาจนั้น
อย่างไรก็ตาม หลังการเลือกตั้งในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 ก็คงจะได้นายอนุทิน ชาญวีระกูล มาเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งนายอนุทินเป็นบุคคลที่มีลักษณะประนีประนอม คงจะจัดสรรตำแหน่งต่าง ๆ ในรัฐบาลเป็นแบบ “กลมกล่อม” คือมีพรรคต่าง ๆ มาร่วมอยู่ในกระทรวงเดียวกันในหลาย ๆ กระทรวง อย่างหนึ่งก็คือนายอนุทินจำเป็นต้อง “ยอม” คือได้ไปง้อเขามาร่วมรัฐบาล อย่างต่อมาก็คือ เพื่อไม่ให้มีการ “รับประทานบุฟเฟต์” ในกระทรวงเหล่านั้น และอย่างสุดท้ายก็คือ เพื่อให้มีการถ่วงดุลกันของแต่ละพรรคในแต่ละกระทรวงนั้น
ยิ่งไปกว่านั้น รัฐมนตรีในแต่ละกระทรวงของรัฐบาลชุดใหม่(แต่นิสัยเก่า)นี้อาจจะมีลักษณะการบริหารแบบ “โลว์โปรไฟล์ ไฮโปรฝิด – Low Profile High Profit” อันเป็นศัพท์ทางการบริหารที่หมายถึง “ทำตัวให้เงียบหงอยต้อยต่ำ แต่กระหน่ำกำไรมหาศาล” คืออาจจะไม่มีข่าวออกสู่สาธารณะว่ากำลังทำอะไรหรือดำเนินนโยบายอะไรอยู่ มุ่งทำงานกันไปเงียบ ๆ แล้วให้ตัวนายกรัฐมนตรีออกสื่อแถลงเรื่องต่าง ๆ เป็นหลัก ขณะเดียวกันบรรดารัฐมนตรีทั้งหลายก็ต้องพยามไม่ทำอะไรที่เป็นการสุ่มเสี่ยง หรือถ้าจะทำก็ต้องระมัดระวังไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามได้รู้ รวมถึงรัฐมนตรีร่วมกระทรวง ที่อาจจะย้อนแทงข้างหลังกันได้ ที่สำคัญจะต้องเอาใจข้าราชการในกระทรวงต่าง ๆ เป็นพิเศษ เพราะการกระทำของนักการเมืองก็จะอยู่ในสายตาและ “บันทึก” ของข้าราชการโดยตลอด อันเป็นอาวุธที่สำคัญของข้าราชการในการควบคุมนักการเมืองได้อย่างดี แม้แต่นำข้อมูลการทุจริตนั้นไปให้ฝ่ายค้าน หรือในยุคอินเตอร์เน็ตนี้ก็คือการ “ปล่อยข่าวรั่ว” ออกไปในโซเชียลมีเดียทั้งหลายนั้น รวมทั้งที่ “หากินร่วมกัน” ต่อไปนั้นด้วย
รัฐบาลชุดนี้จะต้องพยายาม “เอาตัวรอด” ไปให้ได้นานที่สุด ดังนั้นจึงต้องพยายามสื่อสารกับสาธารณะให้ดี แต่เมื่อดูตัว “นักมวย” ของแต่ละพรรคแล้ว พรรคฝ่ายค้านที่มีพรรคประชาชนเป็นแกนนำ และอาจจะมีพรรคประชาธิปัตย์คอย “ฉกฉวย” ตามความคุ้นเคย ดูจะมีนักมวยที่หมัดหนักและต่อยได้อย่างดุดัน รวมถึง “เข้าตา” หรือเป็นที่ชื่นชอบของคอการเมืองมากกว่า รัฐบาลจึงอาจจะต้องระมัดระวัง “ไม่หาเรื่อง” หรือชวนทะเลาะกับฝ่ายค้านบ่อยนัก รวมถึง “ใส่ตะกร้อปาก” นักการเมืองในฝ่ายรัฐบาลนั้นไว้ให้ดีด้วย
อีกไม่กี่วันก็จะเป็นปีใหม่แล้ว ซึ่งจะเป็นปีที่ประเทศไทยน่าจะเผชิญความน่าตื่นเต้นมากมายพอสมควร โดยสัปดาห์หน้าจะมาว่ากันว่า “ประชาชน” หรือคนไทยนั้นจะต้องเจอ “อะไร” บ้าง ?
สวัสดีปีใหม่ ชาวไทยทุกคน ขอให้หมดความทุกข์และความยากจน มีความสุขเหลือล้น และโชคดีตลอดไป !








