ทวี สุรฤทธิกุล
ในหลักจริยธรรมของ “ความเป็นสื่อ” โดยรวมสื่อจะต้อง “นำเสนอความจริง สร้างสรรค์ และมีคุณค่าแก่สังคม”
ในยุคสื่อโซเชียลหลามไหล ทำให้ทุกสื่อต้อง “ไหลรวม” หรือร่วมไปในกระแสที่สื่อโซเชียลนั้นเป็น “ตัวนำ” คือ เอาเร็ว เอารวบ ๆ (เพื่อให้เร็ว) แต่ต้องให้เกิด “กระแส” คือสร้างอารมณ์ให้ได้มาก ๆ ในหมู่ผู้เสพสื่อ อันจะนำมาซึ่งจำนวนของผู้ติดตาม ที่หมายถึงจำนวนค่าตอบแทนทางธุรกิจ แต่ที่ถือว่าเป็นผลได้ที่เป็นยอดปรารถนาของทุกสื่อก็คือ การเป็น “ผู้นำ” ในกระแสข่าวนั้น ที่สื่ออื่นต้องมองด้วยความอิจฉาและพยายามเลียนแบบ รวมถึงที่ “เกาะ” หรือ “โหน” ตามกระแสข่าวของผู้นำนั้นไปด้วย
คนที่มีอายุเกิน 60 ปีอย่างผู้เขียน คือคนที่เติบโตมาในยุคที่สื่อโทรทัศน์กำลังเติบโตมา “กลบข่ม” สื่อหนังสือพิมพ์และสื่อวิทยุ แต่ถ้าคนที่มีอายุยังไม่ถึง 30 ปี ก็คือคนที่เติบโตมาในยุคสื่อโซเชียลกำลัง “ถล่มล้าง” สื่อโทรทัศน์นั้นอีกทอดหนึ่ง ด้วยประเด็นที่เป็นเหตุแห่งการเข้ามาแทนที่อย่างเดียวกันก็คือ สื่อใหม่ที่มาแทนที่นั้น “ดึงดูด” ผู้เสพให้เข้ามาได้มากและรวดเร็ว ด้วยความเร็วในการนำเสนอของ “สื่อใหม่” ที่ในสมัยที่ผู้เขียนเป็นหนุ่มก็คือโทรทัศน์ แต่ในสมัยที่คนยุคมิลเลนเนียมเป็นหนุ่มนี้ก็คือโซเชียลมีเดีย
ประเด็นที่จะนำเสนอมาเป็น “ข้อบ่น” หรือการถกเถียงกันในวันนี้ก็คือ “สื่อใหม่” ทั้งหลายจะทำให้สังคมเสื่อมสลายได้ง่าย ด้วยการสร้างความเชื่อและความคิดที่รวบรัดและเน้นอารมณ์ โดยเอา “เร็วและแรง” เข้าว่า ดังที่ในสมัยก่อนสื่อโทรทัศน์ก็ได้เคยสร้างให้เกิดขึ้น ในขณะที่ในยุคนี้สื่อโซเชียลทั้งหลายก็กำลังจะเป็นไปในลักษณะเดียวกัน
ถ้าท่านทั้งหลายเกิดทันและอยู่ร่วมในเหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬ 2535” คงจะพอจำได้ว่า การเคลื่อนไหวของมวลชนในครั้งนั้นถูกเรียกว่า “ม็อบมือถือ” อันเป็นยุคที่เชื่อมต่อกันของสื่อโทรทัศน์กับสื่ออินเตอร์เน็ต (ก่อนที่จะกลายมาเป็นสื่อโซเชียลในปัจจุบัน) ประเด็นตอนนั้นก็คือ ผู้มีอำนาจคือทหารนั้นได้ปิดกั้นสื่อ ทั้งสื่อวิทยุและหนังสือพิมพ์(ที่กำลังเสื่อมประสิทธิภาพในการดึงดูดผู้คน) กับสื่อโทรทัศน์ที่ตอนนั้นกำลังเป็นสื่อหลัก แต่เคราะห์ดีที่สื่ออินเตอร์เน็ตได้เติบโตขึ้นมา โดยสามารถเข้ายึดครองสื่อโทรทัศน์ ด้วยการถ่ายทอดผ่านดาวเทียม ทั้งนี้พวกสำนักข่าวต่าง ๆ ที่อิงหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ต่างก็ “เยาะเย้ย” สื่อดาวเทียมและอินเตอร์เน็ตนี้ว่า คงมาแทนที่สื่อโทรทัศน์นั้นไม่ได้ เพราะเทคโนโลยีดาวเทียมมีราคาแพงและคนทั่วไปเข้าถึงยาก แต่เพียงแค่โทรศัพท์แบบมือถือในมือและการเชื่อมต่อผ่านจานดาวเทียม ได้ทำให้ “โลกเปลี่ยน” ขึ้นในทันที การปิดกั้นข่าวสารที่ผู้มีอำนาจเคยทำได้ก็พังทลายไป และนั่นคือ “โลกใหม่” อันเกิดขึ้นด้วยพลังการสื่อสารของสื่อสมัยใหม่ หรืออาจจะเรียกได้ว่านี่คือ “สื่อสังหาร” ที่ไม่อาจจะประมาทได้อีกต่อไป
แนวทางของการใช้สื่อสมัยใหม่ ดังที่สื่อทั้งหลาย ทั้งสื่อหลักและ “สื่อลอย” (หมายถึงสื่ออิสระที่ไม่มีสังกัดเหมือนพวกสื่อหลัก) ชอบใช้กันอยู่ก็คือ “สร้างความสงสัย” ในตอนเริ่มแรก แทนที่จะสร้างความรับรู้เพื่อให้เกิดความเข้าใจในตอนเริ่มต้นนั้น (อย่างที่ควรเป็นตามหลักวิชาการและจริยธรรมสื่อ) เพื่อดึงดูดผู้เสพสื่อให้ “เกิดอารมณ์” แต่ที่ร้ายไปยิ่งกว่านั้นก็คือ สื่อสมัยใหม่นี้ชอบที่จะให้เกิด “การโต้เถียง” อันเกิดจากการสร้างความสงสัยให้เกิดขึ้นก่อนนั้นเอง นัยว่าจะให้มีคนเข้ามา “ร่วมสังเวียน” หรือต่อสู้ในทางความคิดเห็น เพื่อเพิ่มจำนวนผู้ติดตามหรือเข้ามามีส่วนร่วมกับข่าวสารของสื่อ ซึ่งบ่อยครั้งเราก็จะเห็นว่า “สงครามความคิดเห็น” ที่สื่อสมัยใหม่ชอบสร้างขึ้นนี้ ได้ก่อให้เกิดความขัดแย้งต่าง ๆ อย่างมากมายในสังคม เช่น ถ้าเป็นข่าวอาชญากรรม ก็อาจจะทำให้เกิดการ “ขัดขวาง” หรือ “แทรกแซง” กระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะสื่อที่ชอบทำตัวเป็นศาลหรือสร้าง “คำพิพากษา” ชี้นำไปก่อน รวมถึงการจับคู่ขัดแย้งในกรณีต่าง ๆ มาออกสื่อ นัยว่าจะทำให้มีคนเข้ามาดูสื่อเป็นจำนวนมาก เหมือนกับการดูมวยหรือการตบตีกันในละครน้ำเน่า ที่คนในบางสังคมนิยมชมชอบ
สภาพที่เกิดขึ้นนี้ต้องเรียกว่าเป็น “ทำลายคุณค่าทางสังคม” อย่างน่าเป็นห่วง มันคือ “การสังหาร” หรือทำลายสังคมนั่นเอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ผู้มีหน้าที่ในการดูแลสื่อ โดยเฉพาะตัวสื่อและองค์กรสื่อทั้งหลายนี้ ควรจะต้องตระหนักและเข้าจัดการดูแลโดยเร็ว อย่ามัวแต่ทะนงตนว่าเป็น “ฐานันดรพิเศษ” อยู่เหนือการควบคุมใด ๆ แต่ก็ยังนำสังคมไปสู่หายนะอย่างที่กระทำกันอยู่นี้
ในช่วงกลางปีของปีนี้ได้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเรื่องหนึ่งก็คือ การสู้รบกันตามแนวชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา คนที่อยู่ในแวดวงด้านความมั่นคงก็ทราบกันดีว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาที่เรื้อรังมาอย่างยาวนาน แต่ด้วยการสร้างกระแสของสื่อสมัยใหม่ ได้ทำให้คนไทยกับคนกัมพูชาเกิดความรู้สึกว่าเป็น “คู่อาฆาต” ต้องฆ่าฟันกันให้ตายไปข้างหนึ่ง ถ้าใครเปิดดูสื่อต่าง ๆ ในช่วงนั้นก็จะเห็นแต่การ “กระแทกข่าว” คือทำให้รู้สึกเกิดความรุนแรงไปทุกเรื่อง แม้แต่การเปิดเสียงรบกวน การทำผีหลอก เอารถอุจาระไปเตรียมสาด ฯลฯ กระทั่งมาถึงเดือนตุลาคมที่มีอุทกภัยเกิดขึ้นในภาคเหนือของประเทศ และหลั่งหลามท่วมมาถึงภาคกลาง แล้วกระแทกข่าวว่าน่าจะมาถล่มท่วมกรุงเทพฯ ซึ่งสื่อต่าง ๆ ก็รุมนำเสนอให้เห็นความน่ากลัวว่าคงไม่มีใครรอดพ้นหายนะนี้ไปได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือข่าวน้ำหลากนี้ได้ “ท่วม” ข่าวไทยกัมพูชาไปจน “มิด” แทบจะไม่มีใครเสนอข่าวเรื่องไทยกับกัมพูชานี้อีกเลย ล่าสุดก็คือน้ำท่วมภาคใต้และหาดใหญ่ ก็เข้าอีหรอบเดิมที่เข้ามา “ท่วมมิด” ข่าวอุทกภัยในภาคกลางนั้นจนเงียบสนิท พร้อมกับเกิดกระแสข่าวว่าทำไมคนในจังหวัดอื่นที่เสียชีวิตจากน้ำท่วมจึงไม่ได้รับเงินชดเชย 2 ล้านบาทเหมือนกับคนหาดใหญ่ (ให้ทะเลาะกันไปอีกเรื่อย ๆ)
ยกตัวอย่างมาข้างต้นนี้ แน่นอนว่าทุกเรื่องทุกข่าวก็คือ “วิกฤติ” แต่ถ้าสื่อระมัดระวังเสนอข่าวให้อยู่ใน “ทำนองคลองธรรม” บางทีผลที่เกิดขึ้นกับผู้คนและสังคมน่าจะดีกว่านี้ เช่น เสนอเรื่องการช่วยเหลือในแนวที่มีภาพที่งดงาม ไม่ใช่เอาคนที่เขาเข้ามาช่วยเหลือมาเป็น “คู่ขัดแย้ง” หรือมา “กัดกัน” ให้ผู้คนได้ดู
บางทีก็ต้องตำหนิ “สื่อแย่ ๆ” เหล่านี้ ทางที่ดีควรจะเลิกทำสื่อ แล้วไปเป็น “โปรโมเตอร์” จะดีกว่า?







