ทวี สุรฤทธิกุล
“ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า” น่าจะเป็นคำเดียวกันกับคำว่า “ไม่มีใครใหญ่ได้นาน” เพราะใครยิ่งทำท่าใหญ่มีอำนาจมาก ก็ยิ่งมีศัตรูมากและพังได้ง่าย
ปรากฏการณ์พรรคกิจสังคมในช่วงปี 2518 จนถึง 2528 ที่ได้พรรณนาไว้ในวิทยานิพนธ์ของผู้เขียนดังที่ได้นำเสนอมาเมื่อสัปดาห์ก่อน ได้แสดงให้เห็นถึงความจริงที่น่าสนใจของการเมืองไทย (เพราะปกติในพรรคการเมืองของประเทศที่เป็นประชาธิปไตยแล้ว ถ้าเป็นพรรคใหญ่ ๆ มักจะมีความเข้มแข็งและมีความมั่นคงมาก) ว่าพรรคการเมืองที่มีขนาดใหญ่จะยิ่งมีความอ่อนแอ ที่สุดก็สูญสลายหรือล้มหายตายจากไป
ในบทสุดท้ายของวิทยานิพนธ์นั้น ผู้เขียนได้นำเสนอข้อค้นพบอื่น ๆ และยังได้อธิบายถึงสาเหตุของการล่มสลายของพรรคการเมืองขนาดใหญ่เหล่านั้น (ที่ยกเอามาเป็นตัวอย่างก็มีสองพรรค คือพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคประชากรไทย พรรคประชาธิปัตย์นั้นเคยมี ส.ส.เป็นอันดับ 1 ในการเลือกตั้งปี 2518 และ 2519 ส่วนพรรคประชากรไทย แม้จะไม่ได้ ส.ส.เป็นอันดับ 1 ในการเลือกตั้งปี 2522 แต่ก็กวาด ส.ส.ในกรุงเทพฯไปเกือบหมด คือ 29 ที่นั่ง จากจำนวน ส.ส. 32 ที่นั่ง) โดยสาเหตุประการแรกก็คือ พรรคการเมืองไทยไม่ได้ยึดอุดมการณ์ แต่ยึดผู้นำหรือกระแสความนิยมในตัวผู้นำเป็นหลัก เมื่อเปลี่ยนผู้นำหรือกระแสความนิยมในตัวผู้นำลดลง พรรคก็เสื่อมความนิยมลงไปด้วย ประการต่อมาคือเมื่อเข้าไปในพรรคแล้วก็เข้าไปเกาะกลุ่มกันเป็นก๊กก๊วน เพื่อสร้างพลังต่อรองและแย่งชิงผลประโยชน์ ถ้าผู้นำพรรคไม่สามารถดูแลจัดการได้พรรคก็จะพัง และประการสุดท้ายคือ ส.ส.ของพรรคสามารถเปลี่ยนขั้วคือเปลี่ยนกลุ่มจนถึงเปลี่ยนพรรคได้ง่าย ทำให้ ส.ส.ขาดความจงรักภักดีต่อพรรค และยึดเอาผลประโยชน์ส่วนตัวกับผลประโยชน์เฉพาะหน้าเป็นสำคัญ
เมื่อผู้เขียนมาทำงานเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ใน พ.ศ. 2531 ที่สาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช แต่ก็ยังได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพรรคกิจสังคมในช่วงท้าย ๆ นั้นอยู่ด้วย โดยได้ไปช่วยราชการที่กระทรวงพาณิชย์ที่พรรคกิจสังคมดูแล และต่อมาก็มาช่วยราชการที่กระทรวงการต่างประเทศ ก่อนที่พรรคกิจสังคมจะถูกเอาออกเสียจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลในปี 2533 แล้วรัฐบาลนั้นก็มาถูกคณะ รสช.ทำรัฐประหารในปี 2534 พอมีเลือกตั้งใน พ.ศ. 2535 ก็กลายเป็นพรรคเล็ก เพราะหัวหน้าพรรคคือนายมนตรี พงษ์พาณิช ไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร จนกระทั่งถึงการเลือกตั้งในปี 2538 พรรคกิจสังคมก็สูญสลายไปหมดสิ้น เพราะแกนนำกระจัดกระจายหนีหายไปอยู่พรรคอื่นเสียหมดแล้ว พอดีกับที่นายมนตรีไม่แข็งแรงและเสียชีวิตในปี 2543
ดังนั้นเมื่อถึงการเลือกตั้งในปี 2544 ที่พรรคไทยรักไทยของ ทักษิณ ชินวัตร (ตอนนั้นยังเป็นพันตำรวจโทและยังไม่ได้เป็นนักโทษ) ได้แสดงอภินิหารเป็นพรรคขนาดใหญ่ขึ้นในเวลาฉับพลัน ซึ่งพอใกล้จะมีเลือกตั้งในปี 2548 ผู้เขียนก็ได้เขียนบทความชื่อเรื่องว่า “ยุทธศาสตร์มืดของไทยรักไทย” โดยเนื้อหาหลักเป็นเรื่องเกี่ยวกับการใช้แผนการอันชั่วร้ายต่าง ๆ ฮุบเอาพรรคอื่น ๆ ทั้งเล็กทั้งใหญ่เข้ามารวมเข้ากับพรรคไทยรักไทย และในตอนท้ายก็ยังได้ทำนายไว้ว่า การเป็นพรรคขนาดมหึมานั้นจะนำมาซึ่งการล่มสลายของพรรคได้ง่าย ๆ ถ้าหากหัวหน้าพรรคไม่สามารถดูแลลูกพรรคได้อย่างทั่วถึง เพราะตอนนั้นก็มีการแบ่งขั้วเป็น “ก๊กก๊วน” อย่างมากมายเกิดขึ้นแล้ว แต่นายทักษิณก็ยังสามารถแสดงอภินิหารได้อย่างเหลือเชื่อ คือคุมพรรคที่ต่อมาก็เป็นพรรคพลังประชาชน จนกระทั่งเป็นพรรคเพื่อไทย เอาชนะการเลือกตั้งและได้ ส.ส.เป็นจำนวนมากมาโดยตลอด ซึ่งก็เพิ่งจะมาแพ้พรรคอนาคตใหม่ (ที่ขณะนี้ต้องเปลี่ยนชื่อและย้ายพรรคมาเป็นพรรคประชาชน) ในการเลือกตั้งเมื่อครั้งล่าสุดในปี 2566 นี้ แต่ตอนนี้นายทักษิณได้เสื่อมบารมีลงไปแล้ว เพราะต้องจำขังอยู่ในเรือนจำ รวมถึงมีการเปลี่ยนในตัวผู้บริหารของพรรคเพื่อไทย ที่ไม่ได้เป็น “สายเลือด” หรือคนในครอบครัวของนายทักษิณแล้ว ก็ไม่แน่ใจว่านายทักษิณจะยังทุ่มเทให้กับพรรคเพื่อไทยนี้อย่างเต็มที่เช่นดังแต่ก่อนหรือไม่ แต่ที่สำคัญในเรื่องที่เสียหายมาก ๆ แก่พรรคเพื่อไทยนี้ก็คือ มีการเคลื่อนย้ายออกไปของกลุ่มก๊วนต่าง ๆ บ้างแล้ว ซึ่งก็จะมีอนาคตแบบเดียวกันกับพรรคกิจสังคมในอดีต ที่ในที่สุดก็ขาดพลังทางการเมืองและต้องสูญหายไปในเวลาไม่นาน
ทีนี้ลองมามองพรรคการเมืองใหญ่ ๆ ในเวลานี้ ซึ่งขอเริ่มจากพรรคประชาชนที่มีจำนวน ส.ส.มากที่สุดในเวลานี้เสียก่อน ซึ่งถ้าจะมองตามทฤษฎี “ยิ่งใหญ่ยิ่งดับได้ง่าย” จากวิทยานิพนธ์ของผู้เขียน พรรคนี้ก็ยังไม่เข้าองค์ประกอบของ “วันสิ้นพรรค” เพราะดูแล้วยังมองไม่เห็นว่ามีการแบ่งกันเป็นก๊กก๊วนวุ่นวายหรือสร้างความอ่อนแอให้กับพรรค จะมีก็แต่ “ดาวเด่น” แบบดารานำเดี่ยว ๆ ปรากฏชื่อเสียงออกมาทางสื่อต่าง ๆ กระจายอยู่หลายดวง ที่อาจจะเป็นระยะแรกของการสร้างก๊กก๊วน คือสร้างกระแสความนิยมให้กับตัวเองเพื่อที่จะให้มี ส.ส.คนอื่นมาเกาะเข้ากลุ่ม รวมถึงเพื่อสร้างความเด่นดังให้กับตัวเองเพื่อ “อัพ” ราคาค่าตัว รวมถึงสร้างพลังต่อรองทั้งภายในพรรคและภายนอกพรรคนั้นด้วยก็ได้ ดังนี้จึงต้องคอยดูว่าการเลือกตั้งครั้งที่จะมาถึง จะมีการกระสานซ่านเซ็นแตกตัวออกไปอยู่พรรคอื่นหรือไม่ เพราะพรรคประชาชนน่าจะมีท่อน้ำเลี้ยงไม่ยาวนัก เว้นแต่จะมีนายทุนใหม่ ๆ หรือนายทุนในฟากฝ่ายอื่น ๆ “แอบ” มาช่วยเหลือเจือจาน อย่างที่กลุ่มทุนต่าง ๆ ของไทยชอบทำกันมาเป็นเวลานาน
ทีนี้ก็คือพรรคภูมิใจไทย ที่มองกันว่าน่าจะเป็นพรรคใหญ่ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป (แม้จะเสียรังวัดไปในเรื่องการจัดการน้ำท่วมภาคใต้และปัญหากัมพูชาไปบ้าง แต่ส่วนตัวผู้เขียนเองก็เชื่อว่าไม่ใช่ประเด็นที่จะไปลดทอน “พลัง” ของพรรคนี้ได้โดยตรง เพราะอย่างไรพรรคนี้ก็เป็นพรรคที่มีทั้งกระสุนและความพร้อมในด้านต่าง ๆ มากที่สุด) ก็น่าจะยังได้เปรียบและน่าจะได้ ส.ส.เข้ามาเป็นจำนวนมากที่สุด แต่ก็มีประเด็นที่น่าเป็นห่วงว่าพรรคนี้ก็อาจจะมีชะตากรรมตามทฤษฎี “ยิ่งใหญ่ยิ่งดับได้ง่าย” นั้นได้ เพราะที่พรรคนี้ใหญ่ขึ้น ๆ ก็ด้วยการไหลเข้ามาของก๊กก๊วนต่าง ๆ ในหลาย ๆ พรรคในหลาย ๆ ภูมิภาค แต่ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ ผู้นำของแต่ละก๊กก๊วนที่มารวมกันในพรรคภูมิใจไทยครั้งนี้ หลายคนก็ไม่คิดจะเผาผีกันอยู่แล้ว ยิ่งถ้าเอามาอยู่ร่วมกันแบบ “แบ่งกะลาผลประโยชน์” ก็อาจจะง่องแง่งแว้งกัด ทั้งกัดกันเอง จนลามถึงกัดหัวหน้าพรรคและพังไปทั้งพรรคนั้นได้
มีพรายกระซิบ (น่าจะเป็นผีโขมดที่เขากระโดง) มาบอกผู้เขียนว่า อย่าไปห่วงคุณอนุทินเลย เพราะเขามีครูดี เป็น “ครูใหญ่” อยู่ข้างเขากระโดงนี่เอง คนนี้มีวิทยายุทธ์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า “ปีศาจหน้าเหลี่ยม” ที่อยู่ในคุกตนนั้น รับรองว่า “เอาอยู่” (แต่จะพังเหมือนใครต่อใครที่ชอบพูดคำนี้หรือไม่ก็ไม่ทราบ) และพาพรรครอดไปได้แน่ ๆ
ผู้เขียนขอให้คำทำนายอีกเรื่องหนึ่งว่า “ใหญ่ยิ่งกว่าฟ้า แต่ถ้าชั่วช้าเลวทราม เวรกรรมก็จะติดตามมาลงโทษได้” ขอจงระวังไว้ให้ดีนะ








