ถามว่าเมื่อประเทศไทย “พัฒนา” มาถึงวันนี้ สิ่งที่ “ท่วมประเทศ” มากที่สุดคืออะไร?
นักเศรษฐศาสตร์อาจตอบว่า คือ “ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ” คือ มีคนรวยที่รวยมากแบบ “มหาศาล” กระจุกตัวอยู่เป็นกะเปาะเล็กๆ บนยอดปิระมิดของสังคม ขณะเดียวกันก็มีคน “ยากจนข้นแค้น”มากมายกระจายอยู่แบบ “มหาศาล” เช่นกันตรงฐานรากที่กว้างขึ้นเรื่อยๆของปิระมิดนั้น
นักรัฐศาสตร์อาจตอบไปอีกอย่าง เช่น ตอบว่าผลของการพัฒนา “ระบบการเมือง” ของสยาม หรือประเทศไทย นับตั้งแต่ “คณะราษฎร์” เข้ายึดอำนาจจากพระมหากษัตริย์ เปลี่ยนแปลงระบบการปกครองจากระบอบ “สมบูรณาญาสิทธิราช” (ศักดินานิยม)มาเป็นระบอบ “ประชาธิปไตย” (Democracy) จากปี 2475 จนถึงปัจจุบัน ที่กินเวลาถึง 96 ปีเข้าแล้ว แต่กลับพบว่า “ระบบการเมือง” กลับยิ่งฉ้อฉลเน่าเหม็นเพิ่มขึ้นทุกทีๆจนแทบจะไม่เห็นทางว่าจะพัฒนาต่อให้ดีขึ้นได้อย่างไร
นักทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอาจตอบว่า 96 ปีแห่งระบบ “เสรีนิยมประชาธิปไตย” ทำให้ประเทศไทยสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติไปในระดับ “หายนะ” อย่างไม่คุ้มค่า คือ นอกจาก ทรัพย์ยากรสำคัญๆ อย่าง แร่ธาตุ (ทั้งโลหะธาตุและพลังงาน) ป่าไม้ แผ่นดิน แผ่นน้ำ อากาศ ต้องหมดสิ้น เสื่อมสลาย และเป็นพิษไปหมดสิ้นแล้ว ทรัพยากรที่สำคัญที่สุดคือ “ทรัพยากรคน” ที่ถือเป็นหัวใจของ “soft power” ก็ยิ่งมีคุณภาพตกต่ำลงในทุกด้าน
นักวัฒนธรรมวิทยาบอกว่า ช่วงเวลาแห่งการใช้ “แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ” เพื่อ “พัฒนาประเทศไปสู่ความทันสมัย” (Modernization) ตั้งแต่เริ่มแผนระยะที่ 1 คือ ปีพ.ศ.2504 จนถึงปัจจุบัน ที่ใช้เวลาเพียงประมาณครึ่งศตวรรษ (60กว่าปี) ก็พบว่า ทำให้ “ราก” ทางวัฒนธรรมไทย ที่บรรพชนสถาปนาสร้างสรรค์สืบสานมาด้วยเวลานับพันปีได้ขาดสะบั้นไปแล้วโดยแทบจะสิ้นเชิง
นั่นคือ เยาวชนคนไทยรุ่นนี้เลิกล้มสิ่งที่เป็น “ระบบคุณค่า” แบบไทยไปสมาทานวัฒนธรรม
วิถีแบบต่างชาติแบบ “ลัทธิเอาอย่าง” จนแทบจะโดยสิ้นเชิง ทั้งวัฒนธรรมการใช้ภาษา การสร้างที่อยู่อาศัย การรักษาพยาบาล การกินดื่ม การใช้เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มและอื่นๆ
ที่หนักสุดน่าจะเป็นเรื่องของ “นักจริยธรรม”!
นักจริยธรรมวิทยาส่วนใหญ่ล้วนสรุปเรื่องคุณภาพทางจริยธรรมของผู้คนในประเทศไทยปัจจุบันแบบตรงกันว่า (ประมวลความเป็นคำกลอนสั้นๆ)
“ไม่มีแล้วยุคไหนสมัยหน้า/จิตใจจะคนต่ำช้าไปทุกด้าน/ล้วนเบียดเบียนสารพัน แบบอันธพาล/ล้วนเข่นฆ่าสามานย์-รุกรานธรรม!”
ต้องตีความคำกันเอาสักหน่อยนะ เพราะคำในบทกลอนนั้นกินความมาก ตัวอย่างในวรรคสุดท้ายนั่นไง ที่ว่า “ล้วนเข่นฆ่าสามานย์-รุกรานธรรม” นั่นย่อมหมายถึงว่า คนไทยยุคปัจจุบัน
ส่วนใหญ “สามานย์” เพราะชอบเข่นฆ่าทำลายกัน คำ “รุกรานธรรม” นั่นคลุมความไว้มาก คำว่า
“ธรรม” หมายถึงธรรมชาตินั่นเอง นอกจากธรรมชาติที่เป็นสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติต่างๆแล้ว ย่อมกินความไปถึง “ธรรมชาติ” ของมนุษย์ด้วย
นั่นคือ “ความดี ความงาม และความจริง” ซึ่งก็คือ “จริยธรรม” ที่สิ่งมีชีวิตชนิดอื่นไม่สามารถมีโอกาสมีได้นั่นเอง
ตัวแทนที่เป็นรูปธรรมมากที่สุดของสิ่งที่้รียกว่า “จริยธรรม” ในสังคมไทยก็คือสิ่งที่เรียกว่า “ศาสนา” นั่นเอง!
ศาสนาคืออะไร? ศาสนาก็คือคำสอนของ “ศาสดา” หรือ ของ “ลัทธิความเชื่อ” นั้นๆในรูปลักษณ์ต่างๆ เพื่อให้ศาสนิกหรือผู้สมาทานนับถือศรัทธานำไปเป็นแนวทางปฏิบัติในการดำรงชีวิต
ซึ่งนั่นย่อมหมายถึง “แนวความคิดและคำสอน” ที่เกี่ยวกับระบบความเข้าใจใน “คุณค่า” แห่งความเป็น “คน” (คือตนเอง) และแนวทางในการดำรงชีวิตสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนและระหว่างคนกับสิ่งอื่นๆ ทั้งในระดับชุมชน หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด ประเทศ โลก และจักรวาล
หลักฐานทางประวัติศาสตร์บอกเราว่า ระบบจริยธรรมที่เรียกว่า “ศาสนาพุทธ” เข้ามามีบทบาทห่มคลุมจิตใจจนกลายเป็นคตินิยมสัมพันธ์ในพื้นที่ที่เรียกว่า “สยาม” แห่งนี้(ที่เรียกว่า “ประเทศไทย” ในห้วงเวลาต่อมา)มาอย่างยาวนาน อย่างน้อยก็ตั้งแต่ประมาณ 2000 ปีที่แล้ว
จึงมีผู้คนจำนวนมากที่สุด ตั้งแต่กลุ่มชนในสถาบันกษัตริย์จนถึงสามัญชนในแผ่นดินถิ่นนี้ที่สมาทานเข้าเป็นศาสนิกกันอย่างต่อเนื่องสืบมายาวนาน
ในยามที่ผู้คนในแผ่นดินไทย “ดำรงท่ามความท่วมทุกข์” เช่น ในปัจจุบันนี้ (ทั้งคนรวยคนจน/ทั้งพวกที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว)จึงน่าจะลองยกคำสอน หรือ “วาทกรรม” สำคัญๆของพระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นองค์พระศาสดาแห่งพระพุทธศาสนาที่เคยเปล่งคุ้มครองโลกมาแต่เนิ่นนานแล้วมาประกาศให้เข้าหูเข้าตาที่ดิบด้านของบรรดาเสนียดจัญไรที่ “เข่นฆ่าสามานย์ รุกรานธรรม” อีกสักครั้งจะเป็นไรไป
อย่างน้อยคนทุกข์ที่หลงไปกับแรงเร้าแรงปลุกกิเลสของ “ศาสนาทุนนิยม” บางคนที่ได้เห็นได้ยินอาจจะรู้ “ตื่น” ขึ้นได้บ้าง ก็อาจเป็นได้!!








