สถาพร ศรีสัจจัง
อาจกล่าวโดยสรุปได้ว่า สิ่งที่เรียกว่า “สัมมาอาชีวะ” ซึ่งเป็น 1 ใน 8 ของหลักการดำรงชีวิตที่ดี ทั้งของปัจเจกและสังคม ตามหลักคำสอนของศาสนาพุทธที่ดำรงคงคู่กับสังคมไทยมาอย่างยาวนาน ได้รับการทำลายลงอย่างเป็นรูปธรรมชัดเจน ก็น่าจะตั้งแต่เริ่มระบบการปกครองแบบเผด็จการของ ‘สฤษดิ์ ธนะรัชต์’
และเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น เมื่อสฤษดิ์ได้ก่อเกิดและประกาศใช้สิ่งที่เรียกว่า “แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ระยะที่ 1“ (ยังไม่มีคำว่า ‘สังคม’) ขึ้นในปี พ.ศ. 2504 โดยฝีมือของที่ปรึกษาพิเศษจากสหรัฐอเมริกาที่เริ่มเข้ามามีอิทธิพลทางการเมือง-การทหารในสังคมไทยมากขึ้นเรื่อย ๆ ภายใต้การเปิดประตูรับอย่าง ”อ้าซ่า“ ของนายกรัฐมนตรีจอมรัฐประหารนาม ‘จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์’ คนนั้นนั่นแหละ!
ที่ว่า “อ้าซ่า” ก็คือยอมให้อิทธิพลของสหรัฐอเมริกาเข้ามามีอำนาจนำทางความคิดในสังคมไทยแทบทุกด้าน ทั้งแนวคิดด้านการทหาร แนวคิดด้านเศรษฐกิจ-การเมือง และโดยเฉพาะแนวคิดด้านวัฒนธรรมแบบ ‘เสรีนิยม’ เช่น ระบบการศึกษา ระบบการสื่อสารมวลชน ระบบการบันเทิงเริงรมย์ ระบบการบริโภคแบบไม่รู้จักพอเพียง ฯลฯ
เพื่อให้สอดคล้องกับแผน “การพัฒนาประเทศไปสู่ความทันสมัย” (Modernization) ดังที่นักวิชาการอเมริกากำหนด ท่านจอมเผด็จการของเราถึงขนาดต้องลงทุนเขียนจดหมายลับไปถึง “มหาเถรสมาคม” ในยุคนั้นแบบไม่กลัวบาป! เนื้อหาในจดหมายเป็นทำนอง ขอให้คณะสงฆ์เลิกหรือเพลา ๆ การสั่งสอนพุทธศาสนิกชนชาวไทยในเรื่องที่เกี่ยวกับ “ความสันโดษ” (สันตุฏฐิ) และ “ความมักน้อย” (อัปปิจฉา) เอาเลยทีเดียว!
เพราะหลักการเรื่อง “สันโดษ” นั้นหมายถึงการสอนให้คนยินดีพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่เป็นอยู่ อย่างพอสมควรแก่ฐานะ ไม่โลภมากอยากได้จนเกินพอดี ส่วนหลักเรื่อง “ความมักน้อย“ ก็เช่นกัน พระท่านสอนให้ชาวบ้านเรียนรู้ที่จะควบคุมตนเองไม่ให้ ‘ทะยานอยาก’ จนเกิน ‘พอดี’
อาจเข้าทำนองคำพังเพยไทยเก่า ๆ ที่ว่า “เห็นช้างขี้อย่าขี้ตามช้าง” (เพราะช้างขี้ก้อนใหญ่/แต่คนตัวเล็กกว่าช้าง ถ้าทำตามช้างอาจทำให้ก้นพังได้!) หรือเปล่า?
ที่ท่านต้องสั่งการไปเช่นนั้น ก็คงเพราะเห็นว่าคติธรรม 2 เรื่องดังกล่าว มีความแย้งขัดโดยตรงกับหลักการของระบบทุนนิยมเสรีที่ท่านไปสมาทานจากสหรัฐอเมริกามาผลักดันให้เกิดขึ้นแบบ ”ให้จงได้“ ในสังคมไทย! ก็เพื่อให้เกิดสิ่งที่ท่านเชื่อและเรียกว่า “ความทันสมัย” นั่นแหละ!
หัวใจของระบบทุนนิยมที่เป็นแกนกลางของ “แผนพัฒนาฯ” ก็คือต้องทำให้คนในสังคมไทยเชื่อมั่นให้ได้ว่า คุณค่าที่สำคัญสูงสุดของชีวิตมนุษย์คือ “เงิน” - เป้าหมายของระบบนี้จึงอยู่ที่คำว่า “เงินเป็นใหญ่-กำไรสูงสุด”
และสิ่งที่จะทำให้เกิด “เงิน” ขึ้นได้ก็คือ “สินค้า (goods/commodity)”!
ดังนั้นจึงต้อง “แปร” ทุกอย่างในสังคมให้เป็น “สินค้า” เพื่อการ “ขาย” ทำกำไร (ในรูปของ ‘เงิน’) ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นแรงงาน (ทั้งกายและสมอง) คน หรือทรัพยากรใด ๆ ในสังคม ล้วนต้องมี “มูลค่า” เป็น “ราคา” เพื่อให้สามารถแปรเป็น “เงิน” ได้
”คุณค่า“ ใดที่ไม่สามารถแปรเป็น “มูลค่า” ได้ ไม่ถือว่าเป็น “สินค้า” (แม้จะมีคุณค่าในด้านใดด้านหนึ่งก็ตาม) จึงเป็นสิ่งที่ขัดแย้งโดยตรงกับ “เจตนา” ของระบบสังคมแบบ “ทุน‘บริโภค’นิยมเสรี”!
จึงเกิดคำขวัญทำนอง “งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข” ขึ้นเกร่อในยุคนั้น!
คุณค่าแห่งคำสอนของพระพุทธศาสนาในเรื่องที่เกี่ยวกับ “ความมักน้อย” และ “ความสันโดษ” จึงคล้ายเป็นศัตรูโดยตรงของระบบทุนนิยมเสรีตามแผนการ “พัฒนาประเทศไปสู่ความทันสมัย” ของท่านผู้นำ
ท่านจึงใช้ฐานะ ‘อำนาจ‘ ที่ท่านมีในยุคนั้นทำจดหมายถึงมหาเถรสมาคมให้เกรงใจดังที่ว่ามา
เพื่อให้ “ระบบส่งเสริมกามคุณแบบไม่รู้พอเพียง” สามารถสถาปนาขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมมั่นคงขึ้นในประเทศไทย (ที่ยามนั้นเพิ่งเปลี่ยนชื่อประเทศจาก “สยาม” มาได้เพียง 20 กว่าปี)
”กามคุณ“ นั้นเป็นหลักคิดสำคัญในพระพุทธศาสนา เรียกว่า ”กามคุณ 5“ หมายถึง สิ่งน่าปรารถนา น่าใคร่ ชวนให้กำหนัดยินดี ได้แก่ รูป รส กลิ่น เสียง และ สัมผัส ซึ่งเป็นบ่อเกิดของ “ตัณหา” ที่ทำให้ง่ายต่อการ “ทำชั่ว” (เช่น การประกอบ ‘มิจฉาอาชีวะ’)
อยากรู้เรื่องนี้ให้ละเอียดก็ลองไปหาศึกษาเรียนรู้เอาเองได้
คติความเชื่อเชิงพุทธที่มุ่งสอนให้คน (คฤหัสถ์) ในสังคมมีกิเลสแบบ “รู้พอเพียง” (มัชฌิมาปฏิปทา) เพื่อการไม่ “เบียดเบียน” (ทั้งต่อตัวเองและคนอื่นสิ่งอื่น) ไม่หลงเพริดไปกับความคิดเชิง “กามคุณ” ที่คลุมห่มสังคมมาไทยอย่างยาวนานนับพันปี จึงถูก “เซาะกร่อนบ่อนทำลาย” ลงอย่างทรงพลังยิ่ง จากสิ่งที่เรียกว่า “แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ“ ด้วยห้วงเวลาไม่นานนัก-สืบต่อจากนั้น!!!








