มองโลก เหลียวไทย

การทูตอาหาร (Gastrodiplomacy)

แชร์ข่าว

ไม่กี่วันก่อนประเทศไทยได้รับข่าวน่ายินดีอย่างยิ่ง กับการคว้าแชมป์โลกของหนังสือเล่มหนึ่ง ในงานประกาศรางวัล Gourmand Awards ครั้งที่ 31 ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น “ออสการ์ด้านอาหารของโลก” ที่จัดขึ้นที่กรุงริยาร์ด หนังสือเล่มดังกล่าวมีชื่อว่า “ประชาธิปไตยกินได้ (Democracy on the Plate)” เป็นผลงานที่จัดทำโดยสถาบันพระปกเกล้า ที่น่าสนใจไปมากกว่านั้น คือ หนังสือเล่มนี้คว้ารางวัลในสาขา “การทูตอาหาร” หรือ Gastrodiplomacy

เชื่อว่าหลายๆท่านอาจจะไม่รู้จักว่า “การทูตอาหาร” คืออะไร วันนี้เราจะมาเล่าให้อ่านกันครับ

อธิบายแบบเข้าใจง่ายๆ “การทูตอาหาร” หรือ Gastrodiplomacy คือการใช้ “อาหารและวัฒนธรรมการกิน” เป็นเครื่องมือด้านการทูต เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดี และทำให้ผู้คนในต่างประเทศรู้สึกใกล้ชิดและเห็นภาพประเทศในมุมบวกมากขึ้น เรื่องนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่อง “เมนูอร่อย” แต่เป็นยุทธศาสตร์ด้านการต่างประเทศแบบหนึ่งที่ได้รับการกล่าวถึงไม่น้อย

หนึ่งในนักวิชาการที่พูดถึงเรื่องนี้อยู่บ่อยๆ คือ Paul Rockower เขานิยาม gastrodiplomacy ว่าเป็น“การชนะใจและความคิดของผู้คนผ่านทางกระเพาะอาหาร” ซึ่งในทางทฤษฎีแล้วการทูตอาหารมักถูกใช้เป็นส่วนหนึ่งของ Public Diplomacy และ Cultural Diplomacy ที่เป็นที่นิยมในหลายๆรัฐ โดยรัฐจะใช้อาหารประจำชาติ เป็นพาหนะในการเล่าเรื่องราวของวัฒนธรรม ประเพณี อัตลักษณ์ ความเชื่อ ตลอดจนแบรนด์ของประเทศ เพื่อบองกล่าวถึงรากเหง้าทางประวัติศาสตร์ ความน่าสนใจ ให้คนต่างชาติได้รู้จัก และ “รู้สึกดี” กับประเทศตนมากขึ้น

ว่าแต่...ทำไม “อาหาร” จึงเป็น “เครื่องมือทางการทูต” ได้?

เหตุผลสำคัญที่ทำให้ “การทูตอาหาร” หรือ gastrodiplomacy ถูกพูดถึงเยอะในวงวิชาการช่วง 20 ปีที่ผ่านมา นั่นเป็นเพราะ อาหารเข้าถึงง่าย ไม่การเมืองเกินไป นึกภาพตามง่ายๆครับ เช่น เวลาเราชวนกันกินข้าว บรรยากาศมักเป็นมิตร เปิดพื้นที่ให้คุยเรื่องอื่น ๆ ต่อ เช่น การท่องเที่ยว วัฒนธรรม หรือแม้แต่การค้าและการลงทุน นักวิชาการด้าน public diplomacy มองว่าอาหารเป็น “ช่องทางที่นุ่มนวล” ในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชนต่างชาติ 

ประเด็นที่ 2 นั่นเป็นเพราะ อาหารเชื่อมกับเรื่อง Nation Branding งานวิชาการหลายชิ้น ชี้ว่า การทูตอาหารช่วย “สร้างแบรนด์ประเทศที่กินได้” (edible nation branding) คือทำให้คนต่างชาติจำประเทศนั้นผ่านรสชาติ กลิ่น และบรรยากาศในร้านอาหาร แล้วผูกไปถึงภาพรวมของประเทศ เช่น ความเป็นมิตร ความทันสมัย ความปลอดภัยของอาหาร ฯลฯ ซึ่งหากนึกภาพร้านอาหารไทยในต่างแดน คงจะเห็นภาพนี้ได้ไม่ยาก

ประเด็นสุดท้าย เพราะ อาหารเชื่อมโยงกับมิติทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่ออาหารประเทศหนึ่งดัง จะดึงคนไปเที่ยวประเทศนั้น ซื้อสินค้านำเข้า วัตถุดิบ ซอส เครื่องปรุง หรือแฟรนไชส์ร้านอาหาร พูดง่ายๆว่า เป็นโอกาสทางธุรกิจให้ต่อยอดได้อีกมาก ถ้าอาหารไทยดังไประดับโลก คนในประเทศต่างๆ ก็อาจหัวใสอยากทำร้านขายของไทย เช่น ซุปเปอร์มาร์เก็ตไทย หรือร้านอาหารไทย เป็นต้น ทำให้ การทูตอาหาร หรือ gastrodiplomacy เชื่อมกับยุทธศาสตร์เศรษฐกิจและการท่องเที่ยวโดยตรง

สรุปได้ว่า การทูตอาหารนั้น ไม่ใช่แค่เรื่องอาหารอย่างที่คิดกัน แต่กลับมีบทบาทอีกมากที่ส่งผลต่อทั้ง การเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ในเวทีระหว่างประเทศ สิ่งที่จะส่งเสริมให้การทูตอาหารไปได้ไกลกว่าที่คิด คือบทบาทของรัฐที่ต้องเป็นตัวนำ ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงท่องเที่ยว และอื่นๆ รวมไปถึงภาคเอกชนและประชาชนที่ต้องเดินไปด้วยกันในทิศทางเดียวกัน เรียกว่า ไปกันทั้งองคาพยพ

ตัวอย่างในประเทศอื่นก็เช่น โครงการ “Korean Cuisine to the World” หรือ Global Hansik ของเกาหลีใต้ ตั้งแต่ปี 2009 ที่มีเป้าหมายเพิ่มจำนวนร้านอาหารเกาหลี และทำให้อาหารเกาหลีติดอันดับอาหารยอดนิยมของโลก ภายใต้กรอบ soft power ของ K-Culture (K-pop, K-drama ฯลฯ)  แนวคิดคือ ทำให้คน “กินกิมจิ ต๊อกบกกี บิบิมบับ” แล้วอยากรู้จักวัฒนธรรมเกาหลีต่อ ทั้งดึงดูดนักท่องเที่ยว และสร้างแบรนด์ประเทศว่า “เกาหลี = ล้ำสมัย แต่อิงสุขภาพและวัฒนธรรมดั้งเดิม”

ย้อนกลับมาที่หนังสือเล่มที่ได้รางวัลกันบ้าง เล่มนี้พาผู้อ่านไปสัมผัสกับประวัติศาสตร์ไทยผ่านพระกระยาหารของในหลวงรัชกาลที่ 7 พระองค์ท่านทรงเสวยอะไร มีเมนูไหนบ้างที่น่าสนใจ แถวพ่วงด้วยมิติด้านประชาธิปไตยที่สำคัญ คือ การมีส่วนร่วมของประชาชนในด้านการรังสรรค์วัตถุดิบเลอค่าต่างๆจากทั่วทุกมุมของประเทศ เรียกว่าฉายภาพให้เห็นความเชื่อมโยงของวิถีชีวิตคนสมัยก่อนตั้งแต่บนสุดไปสู่ล่างสุดผ่านสายธารแห่งอาหารนั่นเอง

ต้องยอมรับว่า เป็นมิติที่ใหม่มากๆ ในการจับอาหารมาเชื่อมโยงกับประชาธิปไตยและประวัติศาสตร์ได้อย่าง “กลมกล่อม” จนได้รับรางวัลระดับโลก ที่สำคัญงานนี้เกิดจากสถาบันพระปกเกล้าที่เป็นสถาบันการศึกษาของไทยที่ลุกขึ้นมาปรุงรสงานวิชาการให้ “อร่อย” จนได้รับการยอมรับ ถือได้ว่าเป็นทิศทางเริ่มต้นที่น่าชื่นใจ

หากมีโอกาส ลองหามาอ่านกันดูนะครับ อีกหนึ่งความภาคภูมิใจของคนไทยครับ

เขียนเสร็จหิวเลยครับ ไปหาอาหารไทยทานก่อนนะครับ...เอวัง

#การทูตอาหาร #Gastrodiplomacy #SoftPowerไทย #SoftPower #อาหารไทยสู่โลก #วัฒนธรรมไทย #ข่าววิเคราะห์ #บทความSEO #เศรษฐกิจสร้างสรรค์ #ThaiCuisine

ข่าวแนะนำ