ทั้งสิงคโปร์ และเกาหลีใต้ต่างมีนโยบายปราบปรามสแกมเมอร์อย่างเข้มข้น แม้จะมีแนวทางที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
สิงคโปร์ เน้นการป้องกันเชิงโครงสร้างภายในประเทศ โดยมีจุดเด่นอยู่ที่ กรอบความรับผิดชอบร่วม ซึ่งบังคับให้ทั้งธนาคารและผู้ให้บริการโทรคมนาคมต้องรับผิดชอบร่วมกันหากเกิดความเสียหายจากการหลอกลวง และต้องติดตั้งกลไกป้องกัน เช่น ระบบ "Kill Switch" ในธนาคารเพื่อระงับบัญชีฉุกเฉิน และ Sender ID Registry สำหรับ SMS เพื่อป้องกันการปลอมแปลงชื่อผู้ส่ง นโยบายนี้มุ่งเน้นการสร้าง "ภูมิคุ้มกัน" ให้กับระบบเศรษฐกิจดิจิทัลโดยให้ภาคธุรกิจเป็นด่านหน้า
ในขณะที่ เกาหลีใต้ มีแนวทางที่ เด็ดขาดและมุ่งเน้นการตอบโต้ข้ามชาติ เนื่องจากพลเมืองเกาหลีใต้จำนวนมากตกเป็นเหยื่อแก๊งสแกมเมอร์ที่มีฐานอยู่ในต่างประเทศ รัฐบาลจึงใช้มาตรการรุนแรง เช่น การพิจารณาคว่ำบาตรทางการเงิน และการกดดันทางการทูตต่อประเทศที่เป็นฐานของอาชญากรรม รวมถึงการประกาศ "Code Black" เพื่อห้ามพลเมืองเดินทางไปยังพื้นที่อันตราย จุดแข็งของเกาหลีใต้คือการใช้ อำนาจรัฐและการทูต เข้ามาปกป้องพลเมืองอย่างรวดเร็วและดุดัน ทว่าทั้งสองยุทธศาสตร์ต่างก็สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการต่อสู้กับภัยไซเบอร์ในระดับประเทศ
ภายใต้ความคลุมเครือของผู้นำรัฐบาลไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล เกี่ยวกับมาตรการปราบปรามสแกมเมอร์ โดยอ้างเหตุผลเรื่องของการข่าวที่ไม่ต้องการให้รั่วไหลหรือ “เปิดไต๋” ให้มิจฉาชีพ ที่ไม่แน่ใจว่าระมัดระวังคนนอกหรือคนในล่วงรู้ แม้จะยอมรับว่าถูกกดดันจากรอบด้านทั้งจากในและต่างประเทศ จึงได้แต่คาดหวังว่า มาตรการที่เป็น “ไม้เด็ด” ของรัฐบาลไทย จะสามารถปราบปรามสแกมเมอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
#สแกมเมอร์ #Scam #อนุทิน #ปราบอาชญากรรมไซเบอร์ #KillSwitch








