บอย อินชัวร์
สมรภูมิประกันภัยในปี 2026 นับเป็นที่จับตาอย่างยิ่ง หลังในรอบปี 2025 ที่ผ่านมาเผชิญกับวิบากกรรมจากภัยแผ่นดินไหวตึกอาคารสูง โดยเฉพาะแรงสั่นไหวสะเทือนบรรดาคอนโดมิเนียมที่พักอาศัยเสียหายแตกร้าวหนักเบาไปตามทำเลที่ตั้งกันเกลื่อนกรุง ก่อนจะจบท้ายปีกับมหาอุทภัยน้ำท่วมหลายจังหวัดภาคใต้ โดยเฉพาะหาดใหญ่ที่รถยนต์ ตึกรามบ้านช่อง อาคารร้านค้า คอนโดฯที่พักอาศัยของชาวบ้านต่างจมน้ำในระดับสูงถึง 4-6 เมตร และมีผู้เสียชีวิตจำนวนมากจากการถูกความรุนแรงของน้ำพัดพากระชากชีวิตจากโลกใบนี้ไปอย่างอนาถ นำมาซึ่งความสูญเสียทั้งลูกเด็กเล็กแดง คนแก่ ยันผู้ป่วยติดเตียง
นับว่า สร้างความเสียหายตีเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจไม่น้อยเลยทีเดียว ซึ่งต่างจากอุทกภัยรุนแรงครั้งที่ผ่านๆมาแม้จะรุนแรงสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจ แต่ก็ปรากฎผู้คนเสียชีวิตแทบจะน้อยมาก ในกรณีวิบากกรรมของน้ำท่วมหาดใหญ่เที่ยวนี้จึงถือเป็นเคราะห์หามยามร้ายที่หนักสุดของประเทศไทยเลยทีเดียว
วิบากกรรมของปีงูหรือมะเส็งปีนี้ นับว่าส่งผลกระทบตามมาต่อเศรษฐกิจไทยมาก โดยเฉพาะทิศทางของธุรกิจประกันภัยที่ควรโฟกัสก็คือ ตลาดประกันวินาศภัย ซึ่งสภาพตลาดและโครงสร้างเบี้ยประกันน่าจะถูกได้รับผลกระทบตามมาจากบริษัทรับประกันภัยต่อต่างประเทศส่งสัญญาณปรับเบี้ยประกันต่อภัยแผ่นดินไหว และภัยน้ำท่วมสูงขึ้นจากเดิมอย่างมากเลยทีเดียว ขณะที่ผลกระทบจากตลาดประกันรถยนต์ไฟฟ้าหรืออีวีเข้ามามีอิทธิพลต่อการแข่งขันตลาดรับประกันยนต์อย่างมาก รวมถึงตลาดประกันกลุ่มที่มีการแข่งขันกันสูงอย่างรุนแรง สิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนกระทบไม่น้อยตามมากับบรรดาบริษัทนายหน้าประกันวินาศภัย(โบรกเกอร์)ต่อการปรับตัวดำเนินธุรกิจ เพื่อรองรับจากผลกระทบต่างๆที่ถาถมเข้ามาในตลาดประกันขนานหนัก
แน่นอนบริษัท ไรเดอร์ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ จำกัด (มหาชน) โดย ดร.ปานวัฒน์ กูรมาภิรักษ์ กรรมการผู้จัดการ หรือCEO ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทโบรกเกอร์รายใหญ่รายหนึ่งในตลาดประกันไทยมาอย่างยาวนาน ก็ออกมาเปิดใจถึงการปรับเข็มทิศของบริษัทว่า บริษัทได้ตั้งเป้าเติบโต 300% ภายในปี 2569 ด้วย 4 ผลิตภัณฑ์ประกันยอดนิยม ได้แก่ การเปิดเกมรุก 4 แบบประกัน ที่มีอัตราเบี้ยประกันต่ำ โดยผ่านระบบดิจิทัล – พร้อมกับชูความเชื่อมั่นด้วยระบบ ISO 27001 สำหรับ 4 ผลิตภัณฑ์ประกันที่บริษัทมุ่งเป้าจะเน้นทำตลาดได้แก่ผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพเสริม ผลิตภัณฑ์ประกันมะเร็ง ผลิตภัณฑ์ประกันโรคร้ายแรง และประกันอุบัติเหตุชดเชยรายได้
ทั้งนี้ดร.ปานวัฒน์ ระบุว่า บริษัทจะใช้ระบบ AI และระบบดิจิทัลเสริมทัพอย่างเต็มรูปแบบ โดยจะเร่งขยายยอดขายครั้งละ 1,000 เคส พร้อมกับลดต้นทุน และเพิ่มความเร็ว ตลอดจนพัฒนาระบบชำระเงินผ่าน Shopee, LINE Pay, TrueMoney, Alipay ซึ่งได้รับรองมาตรฐานความปลอดภัยข้อมูล ISO/IEC 27001:2022 ทั้งนี้ต้องยอมรับว่าภายหลังจากที่บริษัทได้ทดลองตลาดผ่านโซเชียลฯ ได้มีผู้สนใจคลิกกว่า 200,000 ครั้ง บริษัทจึงปรับระบบสมัครใหม่ให้ใช้งานง่ายขึ้น พร้อมกันนี้ตนเองยังได้เน้นการเปิดเผยชื่อและตัวตนของผู้บริหารอย่างชัดเจน เพื่อให้ประชาชนมั่นใจว่ามีผู้นำองค์กรรับผิดชอบจริงอยู่เบื้องหลังทุกขั้นตอน
ดร.ปานวัฒน์ กล่าวอีกว่า บริษัทไรเดอร์ฯจะเปิดเกมรุกเต็มพิกัดในต้นปี 2569 เป็นต้นไป เพื่อการก้าวสู่การเป็น InsurTech ที่คนไทยเชื่อมั่นอย่างแท้จริง โดยผ่านยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย 1. ยุทธศาสตร์ด้านผลิตภัณฑ์ที่เน้นประกันสุขภาพและมะเร็ง บริษัทได้ให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพ โดยเฉพาะประกันมะเร็งที่ใช้โมเดล "เป็นปุ๊บ จ่ายปั๊บ" โดยจุดที่มีความแตกต่างจากที่อื่นกล่าวคือ ผลิตภัณฑ์ประกันของบริษัทจะจ่ายทันที เมื่อตรวจพบว่าเป็นมะเร็ง (ยกเว้นมะเร็งผิวหนัง) ซึ่งต่างจากประกัน "โรคร้ายแรง" ทั่วไปที่มักต้องรอให้ถึงขั้นที่ 3 หรือ 4 ก่อนถึงจะเคลมสินไหมได้ โดยในส่วนของกรณีมะเร็งผิวหนังจะมีการจ่ายเงินชดเชยให้ 20% ของทุนประกัน โดยตนเองได้ตั้งเป้าหมายการขายก็คือ ตั้งเป้าให้มีผู้ใช้งานอย่างน้อย 20,000 User ต่อหนึ่งผลิตภัณฑ์ ก่อนที่จะเริ่มเพิ่มบริษัทประกันแห่งใหม่เข้ามาในระบบ เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงและรักษาความเสถียรของระบบ
ยุทธศาสตร์ที่ 2 สำหรับวิสัยทัศน์ทางธุรกิจ บริษัทได้วางเข็มทิศหลักๆของบริษัทไรเดอร์ฯก็คือการก้าวขึ้นเป็นโบรกเกอร์อันดับ 1 ด้านระบบประกันสุขภาพในประเทศไทย พร้อมกันนี้ยังได้ปรับลดพอรต์ประกันรถยนต์ (Motor) โดยบริษัทกำลังถอยห่างจากตลาดประกันรถยนต์ เนื่องจากปัจจุบันค่ายรถและโชว์รูมมักจะล็อกประกันไว้ตั้งแต่โรงงานเป็นเวลา 3-5 ปี ซึ่งทำให้โบรกเกอร์เหลือเพียงตลาดรถยนต์เก่าที่ทำประกัน ซึ่งต้องยอมรับว่าขยายตัวยาก ขณะเดียวกันเราจะเน้นขยายตลาดรายย่อยมากขึ้น โดยบริษัทได้ปรับลดสัดส่วนงานสหกรณ์และประกันกลุ่มลง เนื่องจากสภาพตลาดปัจจุบันมีการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรง และมีความเสี่ยงสูง โดยปรากฎการณ์ที่ผ่านมาจะเห็นว่า มีหลายบริษัทประกันต้องปิดตัวไปเพราะการรับงานประเภทนี้ นอกจากนี้ยังจะรุกสร้างแบรนด์ เพื่อบริษัทไรเดอร์ฯมีความมุ่งหวังให้คนไทยนึกถึง "Rider" ทันทีเมื่อคิดจะทำประกันสุขภาพ
ยุทธศาสตร์ที่ 3 การใช้เทคโนโลยี AI และ Digital Marketing นั้น ดร.ปานวัฒน์ เปิดเผยว่า บริษัทกำลังมีแผนจะเปลี่ยนผ่านจากการขายแบบเดิมไปสู่การใช้ Digital Marketing และเทคโนโลยีขั้นสูง โดยจะเปลี่ยนวิธีการขายจากเดิมที่สภาพตลาดต้อง "เดินไปหาลูกค้า" ก็จะเปลี่ยนเป็นการ"ให้ความรู้เพื่อให้ลูกค้า Walk [n เดินเข้ามาหาเราเอง ควบคู่ไปกับการนำระบบ AI มาใช้ ซึ่งบริษัทได้เตรียมแผนจะลงทุนใน AI เพิ่มขึ้น เพื่อช่วยสร้างการจดจำข้อมูลผลิตภัณฑ์และเงื่อนไขการเคลมต่างๆ เพราะต้องยอมรับว่า AI ปัจจุบันมีความจำที่ดีกว่ามนุษย์และสามารถประมวลผลข้อมูลมหาศาลได้แม่นยำ โดยตนเองได้มีแผนพัฒนา AI ที่สามารถทำ "Live" เพื่อตอบคำถามลูกค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง และช่วยลดข้อจำกัดด้านเวลาของบุคลากร
สำหรับยุทธศาสตร์ที่ 4 ตนเองได้วางเป้าหมายทางการเงินและแผนการเข้าตลาดหลักทรัพย์ (IPO)
แม้รายได้ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาจะคงที่ โดยอยู่ที่ระดับเบี้ยประกัน 60-70 ล้านบาท แต่บริษัทได้วางแผนจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดหลังจากปรับปรุงระบบเสร็จสิ้น โดยมีทิศทางเป้าหมายปี 2569 ได้ตั้งเป้ารายได้อยู่ที่ 200 ล้านบาท ทั้งนี้หลังจากปี 2569 ได้ตั้งเป้าเติบโตต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 30% ต่อปี เป็นเวลาติดต่อกัน โดยได้มีแผน IPOเตรียมแต่งตั้งที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) ในปี 2570 และตั้งเป้าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (IPO) ภายในปี 2572
ยุทธศาสตร์ที่ 5 บริษัทมีจุดแข็งและการบริหารความเสี่ยงกล่าวคือ ความซื่อสัตย์ในวิชาชีพซึ่งบริษัทให้ความสำคัญกับการขายข้อมูลที่เป็นจริง โดยจะไม่นำเสนอขายผลิตภัณฑ์ที่ให้ข้อมูลเกินจริงหรือหลอกลวงลูกค้าเพื่อให้ขายได้ โดยจะเน้นลงทุนในระบบมากกว่าสาขา
อนึ่ง ปัจจุบันบริษัทไรเดอร์ มีพนักงานประมาณ 60 คนทั่วประเทศ โดยมีทีมบริหารสายงานอีก 12 คน (รวมประมาณ 72-73 คน) ทั้งนี้บริษัทจะลงทุนในด้าน IT, Software และ AI เป็นหลัก แทนการขยายสำนักงานทางกายภาพ เพื่อตอบโจทย์ยุคดิจิทัล
ในเบื้องต้นบริษัทมีเป้าหมายขายผลิตภัณฑ์และยอดขายในปี 2569 โดยกำหนดผลิตภัณฑ์หลัก 4 ตัว ได้แก่ ประกันสุขภาพ, ประกันมะเร็ง, ประกันโรคร้ายแรง และประกันอุบัติเหตุ (PA) ขายให้ได้ผลิตภัณฑ์ละ 50,000 เคสต่อปี ภายในปี 2569 ซึ่งถือเป็นความท้าทาย เพราะยอมรับว่าเป้าหมาย 50,000 เคสนั้นสูงมาก และไม่สามารถทำได้ด้วยวิธีการขายแบบเดิมๆ โดยวิธีการส่งลูกน้องไปเดินขายรายคนได้ จึงต้องใช้ระบบเข้ามาช่วย
สำหรับกลยุทธ์ที่เราจะใช้เจาะตลาดสหกรณ์และองค์กร (B2B2C) เป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก โดยจะเน้นสหกรณ์ทั่วประเทศซึ่งมีสมาชิกกว่า 10 ล้านคน และองค์กรขนาดใหญ่ โดยวางสัดส่วนเป้าหมายเพียงเข้าถึงสมาชิกให้ได้ 10% ของแต่ละองค์กรในเบื้องต้น โดยอาศัยสายสัมพันธ์ ซึ่งบริษัทไรเดอร์ฯมีความเชี่ยวชาญในตลาดสหกรณ์ ซึ่งบริษัทมีความใกล้ชิดกับสหกรณ์ที่ Active อยู่ประมาณ 150 แห่งทั่วประเทศ หรือคิดเป็นสัดส่วน 70% หรือประมาณ 100 กว่าแห่ง ขณะเดียวกันเราจะเดินหน้าปรับเปลี่ยนอีเวนต์จากเดิมที่จัดกิจกรรมทั่วไป จะเปลี่ยนมาเน้นการจัด "อีเวนต์ด้านสุขภาพ" (Health Event) เพียงอย่างเดียว เพื่อให้สอดคล้องกับเข็มทิศของบริษัท








