บทความ บทวิเคราะห์

เปิดเบื้องหลัง "หยุดยิง" ไทย-กัมพูชา: ชัยชนะทางทหารต้องมาพร้อมความยั่งยืนทางการทูต

แชร์ข่าว

ศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยมีพลอากาศเอก ประภาส สอนใจดี เป็นประธาน ได้ให้ข้อมูลวิเคราะห์ถึงสถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น โดยระบุว่าการตัดสินใจหยุดยิงในครั้งนี้เป็นการประเมินบนจังหวะเวลาที่เหมาะสมอย่างยิ่ง เนื่องจากประเทศไทยสามารถยึดคืนพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญกลับมาได้เป็นจำนวนมาก ซึ่งจะส่งผลให้หากมีการปะทะเกิดขึ้นอีกในอนาคต ฝ่ายไทยจะอยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบมากกว่าเดิมและช่วยลดโอกาสที่จะเกิดการสู้รบครั้งใหม่ลงได้อย่างมีนัยสำคัญ

แม้ว่าในปัจจุบันจะยังมีบางจุดที่ยังไม่ได้คืน แต่ส่วนใหญ่เป็นเพียงจุดเล็ก ๆ ที่มีผลทางยุทธวิถีจำกัด ซึ่งในทางทหารนั้นการฝืนรบต่อเพื่อพื้นที่ส่วนน้อยอาจไม่คุ้มค่าและมีความเสี่ยงที่จะเสียพื้นที่สำคัญอื่น ๆ ไป การหยุดยิงในรอบนี้จึงไม่ใช่ความพ่ายแพ้ แต่เป็นการรักษากำไรทางยุทธศาสตร์ที่ไทยได้มามากกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยหลายจุดได้กลายเป็นพื้นที่กันชน (Buffer Zone) ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและเป็นแต้มต่อสำคัญในการเจรจาในอนาคต

เหตุผลสำคัญอีกประการหนึ่งคือระยะเวลาของการรบที่ดำเนินมานานกว่า 3 สัปดาห์ ซึ่งถือว่ายาวนานตามมาตรฐานสากล หากปล่อยให้สถานการณ์ยืดเยื้อต่อไปอาจส่งผลให้กลไกทางสากลอย่างคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) เข้ามากำหนดเงื่อนไขแทน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไทยควบคุมได้ยากกว่า การเลือกหยุดยิงในขณะที่ UNSC ยังไม่ออกมติและปล่อยให้ทั้งสองฝ่ายเจรจากันเอง จึงเป็นโอกาสให้ไทยยังคงอำนาจในการควบคุมสถานการณ์ผ่านกลไกคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ได้อย่างอิสระ ถือเป็นความสำเร็จในเชิงการทูตที่ควบคู่ไปกับการทหาร

โดยเป้าหมายการทำให้กัมพูชาสิ้นสภาพนั้น ไม่สามารถทำได้ตั้งแต่ต้น เว้นแต่ต้องประกาศสงคราม ซึ่งมีต้นทุนสูงมากและผลลัพธ์อาจไม่คุ้มค่า จึงไม่ควรใช้เป้าหมายที่เกินจริงเป็นเหตุผลลากประเทศเข้าสู่สงครามต่อ นอกเหนือจากมิติทางยุทธศาสตร์แล้ว รัฐบาลยังมีหน้าที่รับผิดชอบต่อสวัสดิภาพของประชาชนชายแดนที่ต้องอพยพและขาดรายได้ รวมถึงทหารในพื้นที่ซึ่งปฏิบัติหน้าที่หนักต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน การหยุดยิงจึงเป็นช่องทางให้ทุกฝ่ายได้กลับมาใช้ชีวิตปกติและฟื้นฟูสภาพจิตใจ

อย่างไรก็ตาม การหยุดยิงครั้งนี้ไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความไว้วางใจต่อกัมพูชา แต่เป็นการบริหารความเสี่ยงของประเทศ แม้กัมพูชาจะสามารถเพิ่มเติมกำลังพลได้ในช่วงนี้ แต่ฝ่ายไทยก็สามารถดำเนินการได้เช่นเดียวกัน และข้อตกลงหยุดยิงนี้ไม่ได้ตัดสิทธิ์ในการป้องกันตนเอง หากมีการถูกโจมตีกลับมา ไทยยังมีสิทธิ์ในการยิงโต้ตอบตามหลักสากลทันที

ทั้งนี้ การตัดสินใจดังกล่าวถือเป็นมติระดับชาติจากสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ซึ่งเป็นไปตามหลักการที่กองทัพอยู่ภายใต้การบริหารของรัฐบาลพลเรือนและมีผลผูกพันทางกฎหมาย เป้าหมายสูงสุดที่ไทยยึดถือคือการทำให้ชัยชนะในสมรภูมิครั้งนี้มีความยั่งยืน เพราะในโลกปัจจุบัน ชัยชนะทางทหารจะไร้ความหมายหากพ่ายแพ้ในเวทีการทูต วันนี้การทูตได้เปิดพื้นที่และเวลาให้ไทยได้เปรียบแล้ว จึงเป็นหน้าที่ของทุกภาคส่วนที่จะต้องร่วมกันรักษาความได้เปรียบนี้ไว้เพื่ออธิปไตยที่มั่นคงสืบไป

ข่าวแนะนำ