ปี 2568 ประเทศไทยเผชิญกับเหตุการณ์ภัยพิบัติครั้งใหญ่ สร้างความสูญเสียอย่างหนัก ทั้งจากภัยธรรมชาติและอุบัติเหตุจากการก่อสร้างขนาดใหญ่ สะท้อนให้เห็นจุดอ่อนในระบบการจัดการและความปลอดภัยของประเทศที่ต้องเร่งแก้ไขอย่างเร่งด่วน
1.ตึก สตง. แห่งใหม่พังถล่ม: บทเรียนจากแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหว
เหตุการณ์น่าสลดใจเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 อาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ที่กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้างเกิดพังถล่มลงมาอย่างรุนแรง มีสาเหตุหลักมาจากแผ่นดินไหวขนาด 8.2 แมกนิจูด ที่มีศูนย์กลางในประเทศเมียนมา ส่งแรงสั่นสะเทือนมาถึงกรุงเทพมหานคร แม้ผู้เชี่ยวชาญจะระบุว่าตึกส่วนใหญ่ในกรุงเทพฯ ยังมีความมั่นคง แต่ตึก สตง. กลับพังทลายลง ซึ่งถูกตั้งข้อสังเกตว่าอาจเกิดจากการทุจริต การไม่ปฏิบัติตามระเบียบราชการ และมาตรฐานวิศวกรรมที่ไม่สามารถรองรับแรงสั่นสะเทือนจากรอยเลื่อนระยะไกลได้ดีพอ
ปัญหาที่ตามมาคือความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน โดยมีรายงานผู้ประสบเหตุทั้งหมด 109 คน เสียชีวิต 86 คน ผู้บาดเจ็บ 9 คน และอยู่ระหว่างการติดตามอีก 14 คน (ข้อมูล 4 พ.ค.68) ขณะที่การเยียวยากลายเป็นเรื่องซับซ้อน เนื่องจากระบบการจ้างงานแบบซับคอนแทคหลายทอด ทำให้แรงงานทั้งชาวไทยและแรงงานข้ามชาติเข้าไม่ถึงสวัสดิการและการช่วยเหลือที่ทันท่วงที หลายคนต้องตกงานและสูญเสียเครื่องมือทำมาหากินโดยไม่มีหน่วยงานเจ้าภาพเข้าดูแลอย่างชัดเจน
แนวทางแก้ไขที่สำคัญคือการที่กรมโยธาธิการและผังเมืองเร่งปรับปรุงกฎหมายควบคุมอาคาร ทั้งในส่วนการออกแบบ การตรวจสอบ และมาตรฐานวิศวกร รวมถึงข้อเสนอให้มีการแก้ไขกฎหมาย 7 ฉบับ เช่น พ.ร.บ.ควบคุมการก่อสร้าง และ พ.ร.บ.ประกันสังคม พร้อมทั้งเสนอระบบประกันภัยภาคบังคับสำหรับโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ เพื่อให้มีการเยียวยาผู้เสียหายได้ทันทีโดยไม่ต้องรอพิสูจน์ความผิด
ส่วนการป้องกันและรับมือแผ่นดินไหวเริ่มจากการยกระดับมาตรฐานวิศวกรรมให้รองรับแรงสั่นสะเทือนได้ 7-8 แมกนิจูด พร้อมพัฒนาทักษะวิศวกรและพนักงานกู้ภัยให้เชี่ยวชาญการค้นหาในเขตเมือง (USAR) และการแพทย์ฉุกเฉิน รวมถึงพิจารณาติดตั้งเซนเซอร์ในอาคารเพื่อแจ้งเตือนผ่าน SMS หรือ Line และใช้ระบบ Cell Broadcast สื่อสารข้อมูลอพยพที่ระบุพิกัดจุดพักพิงอย่างชัดเจน
สำหรับอาคารเก่าที่สร้างก่อนปี 2550 ต้องเร่งตรวจสอบย้อนหลังและเสริมความมั่นคงทางโครงสร้าง โดยใช้เทคโนโลยีเลเซอร์สแกนติดตามการเคลื่อนตัวแบบเรียลไทม์ ในเชิงระบบมีการเสนอให้กำหนดแผนปฏิบัติการและเส้นทางปลอดภัยในไซต์ก่อสร้าง
บทสรุปของเหตุการณ์นี้จึงไม่ใช่แค่อุบัติภัย แต่เป็นสัญญาณเตือนให้รัฐปฏิรูปมาตรฐานการก่อสร้างและระบบการคุ้มครองแรงงานในโครงการของรัฐให้มีความโปร่งใสและเป็นธรรมมากกว่าเดิม
2.หลุมยุบถนนสามเสน: โครงการรถไฟฟ้าเผชิญอุบัติเหตุทางวิศวกรรม
ในเวลาไม่กี่เดือนต่อมา เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2568 ได้เกิดเหตุระทึกขวัญ ถนนสามเสนทรุดตัวเป็นหลุมขนาดใหญ่ บริเวณหน้าโรงพยาบาลวชิรพยาบาลและสถานีตำรวจนครบาลสามเสน โดยหลุมมีความลึกประมาณ 20 เมตร สาเหตุเกิดจากอุบัติเหตุระหว่างการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ (สัญญาที่ 1) เนื่องจากดินและน้ำใต้ดินไหลทะลักเข้ารอยต่อระหว่างอุโมงค์กับผนังสถานี ทำให้ดินใต้พื้นถนนเสียเสถียรภาพและพังทลายลงสู่โพรงเบื้องล่าง โดยมีน้ำจากท่อประปาหลักที่แตกจากการทรุดตัวเป็นตัวเร่งให้การยุบตัวขยายวงกว้างอย่างรวดเร็ว
ปัญหาหลักที่เกิดขึ้นนอกจากความหวาดกลัวของประชาชนแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อโครงสร้างอาคารโดยรอบ โดยเฉพาะอาคาร สน.สามเสน ที่เสาเข็มขาดจากการเคลื่อนตัวของดิน รวมถึงกระทบต่อการให้บริการของโรงพยาบาล แนวทางแก้ไขเร่งด่วนคือการใช้กระสอบทรายกว่า 50,000 ลูกอุดรอยรั่วและฉีดซีเมนต์ถมกลบเพื่อคืนสภาพผิวจราจร
ส่วนในระยะยาวมีการเสนอให้ รฟม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบความเสียหายเชิงโครงสร้างอย่างละเอียด และเพิ่มความเข้มงวดในการควบคุมคุณภาพการก่อสร้าง (Method of Construction) รวมถึงการติดตั้งอุปกรณ์ตรวจวัดการเคลื่อนตัวของดินแบบเรียลไทม์ (Laser Scan/Lidar) ให้ถี่ยิ่งขึ้น
ขณะที่เดียวกันก็พัฒนาระบบเตือนภัยให้ทำงานรวดเร็วผ่านระบบตอบโต้โดยอัตโนมัติเมื่อเซนเซอร์ตรวจพบความผิดปกติเกินค่ามาตรฐาน (Threshold) เพื่อให้ประชาชนและเจ้าหน้าที่มีเวลาอพยพได้ทันท่วงที นอกจากนี้มีการเสนอให้จัดทำแผนที่เสี่ยงภัยและระบุจุดอพยพที่ชัดเจนให้กับชุมชนโดยรอบ
รวมถึงการพัฒนาระบบการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบที่เป็นกลางเพื่อไต่สวนหาสาเหตุความผิดพลาดทางวิศวกรรมอย่างโปร่งใสต่อสาธารณะ และบังคับใช้ระบบประกันภัยภาคบังคับสำหรับโครงการขนาดใหญ่ เพื่อให้การเยียวยาความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินเกิดขึ้นได้ทันทีโดยไม่ต้องรอขั้นตอนพิสูจน์ความผิดที่ยาวนาน
สำหรับการยกระดับความปลอดภัยเพื่อป้องกันเหตุหลุมยุบมีการเน้นย้ำแนวทางเริ่มตั้งแต่การวิเคราะห์ความเสี่ยงของอาคารรอบข้างและกำหนดพื้นที่เสี่ยงภัยก่อนเริ่มโครงการ พร้อมเคร่งครัดในขั้นตอนการก่อสร้าง (Method of Construction) โดยเฉพาะการควบคุมคุณภาพในจุดอ่อนบริเวณรอยต่อระหว่างอุโมงค์และสถานี
บทสรุปของกรณีนี้ชี้ให้เห็นว่าแม้เทคโนโลยีการเจาะอุโมงค์จะก้าวหน้า แต่การเฝ้าระวังความเสี่ยงในจุดอ่อนที่เป็นรอยต่อระหว่างโครงสร้างเป็นสิ่งที่จะละเลยไม่ได้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิด "ธรณีสูบ" กลางกรุงซ้ำรอย
3.มหาอุทกภัยภาคใต้: Rain Bomb ถล่มหาดใหญ่ วิกฤตหนักกว่าอดีต
ช่วงปลายปี 2568 ภาคใต้ตอนล่างต้องเผชิญกับพายุฝนตกลงมาอย่างหนักเป็นประวัติการณ์ โดยเฉพาะที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ซึ่งถูกประกาศเป็นเขตภัยพิบัติทั้งจังหวัดในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 สาเหตุเกิดจากปรากฏการณ์ "Rain Bomb" ที่มีฝนตกหนักสะสมในพื้นที่นาหม่อมและเขาคอหงส์สูงถึง 942 มิลลิเมตรใน 3 วัน ส่งผลให้เกิดภาวะ "น้ำล้อมเมือง" ซึ่งมวลน้ำไม่ได้ไหลมาตามคลองหลักเหมือนในอดีต แต่ไหลบ่าเป็นหน้ากระดานเข้าสู่ใจกลางเมืองหาดใหญ่จากทิศตะวันออกและทิศใต้
ปัญหาที่พบคือ ระบบเตือนภัยเดิมที่เน้นวัดระดับน้ำในคลองอู่ตะเภาไม่สามารถแจ้งเตือนน้ำบ่าทิศทางใหม่ได้ทันท่วงที อีกทั้งการขยายตัวของเมืองที่ขวางทางน้ำไหลและพื้นที่รับน้ำที่หายไป ทำให้ระดับน้ำท่วมสูงกว่าปี 2553 โดยเฉพาะบริเวณโรงกรองน้ำประปาที่ถูกน้ำท่วมสูงกว่า 3 เมตรจนต้องหยุดจ่ายน้ำ
มหาอุทกภัยภาคใต้ครั้งนี้มีรายงานผู้เสียชีวิต 267 คน จำนวนนี้แบ่งเป็น จ.สงขลา เสียชีวิต 229 คน เฉพาะ อ.หาดใหญ่ 142 คน (ข้อมูล 2 ธ.ค.68) ซึ่งกระทบประชาชนกว่า 3.3 แสนครัวเรือน หรือราว 9.3 แสนคน ใน 8 จังหวัดภาคใต้ เฉพาะในเขตเทศบาลนครหาดใหญ่พบอาคารเสียหายกว่า 1 แสนหลัง โดยมีบ้านที่จมน้ำทั้งหลังเกือบ 7,693 หลัง และท่วมบางส่วนอีกกว่า 5.9 หมื่นหลัง คิดเป็นมูลค่าการฟื้นฟูอาคารเบื้องต้นสูงกว่า 1,200 ล้านบาท
ด้านค่าซ่อมแซมเบื้องต้นคาดว่าต้องใช้เงินเฉลี่ยต่อครัวเรือนประมาณ 15,000 - 35,000 บาท สำหรับมาตรการเยียวยาภาครัฐได้จ่ายเงินช่วยเหลือแบบเหมาจ่ายครัวเรือนละ 9,000 บาท ซึ่งโอนเงินสำเร็จแล้วกว่า 1.53 ล้านครัวเรือน ใน 9 จังหวัด รวมเป็นเงินกว่า 1.38 หมื่นล้านบาท (ข้อมูล 16 ธ.ค.68) โดยสงขลาเป็นพื้นที่ที่ได้รับการช่วยเหลือมากที่สุด ทั้งนี้ นอกจากการสูญเสียทรัพย์สินแล้ว ยังพบปัญหาทางสุขภาพจิตที่รุนแรง โดยมีผู้ประสบภัยที่มีความเครียดสูงกว่า 269 ราย และเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย 65 ราย ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องได้รับการดูแลอย่างเร่งด่วนควบคู่ไปกับการฟื้นฟูพื้นที่
แนวทางแก้ไขในระยะสั้นคือการเพิ่มสถานีตรวจวัดน้ำและฝน (โทรมาตร) ในจุดเสี่ยงทิศตะวันออก และการจัดทำแผนที่เสี่ยงภัย (Flood Risk Map) เพื่อให้อพยพได้ก่อนน้ำมาถึง ส่วนระยะยาว กรมชลประทานเสนอแผนขุดลอกคลอง 14 สาย สร้างอ่างเก็บน้ำ 8 แห่ง และพิจารณาสร้างคลองผันน้ำสายใหม่ เพื่อตัดมวลน้ำจากทางทิศตะวันออกลงสู่ทะเลสาบสงขลาโดยตรงโดยไม่ผ่านตัวเมือง บทสรุปของมหาอุทกภัยครั้งนี้คือการย้ำเตือนว่าหาดใหญ่ต้องปรับตัวอยู่กับน้ำด้วยการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นจัดการภัยพิบัติได้อย่างคล่องตัว และต้องเร่งปรับปรุงผังเมืองให้สอดรับกับพฤติกรรมฝนที่เปลี่ยนแปลงไปจากสภาวะโลกร้อน
ภาพรวมปี 2568 เหตุการณ์ทั้ง 3 เรื่องเปรียบเสมือนบททดสอบครั้งใหญ่ของไทย ที่ชี้ให้เห็นว่าการมีโครงสร้างที่แข็งแรงเพียงอย่างเดียวไม่พอ แต่ต้องมีระบบการตรวจสอบที่โปร่งใส กฎหมายที่ทันสมัย และการสื่อสารภัยพิบัติที่เข้าถึงประชาชนทุกกลุ่ม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความปลอดภัยที่ยั่งยืนให้เกิดขึ้นในสังคมไทย







